วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ภัยด้านอะไรที่เป็นปัญหาของชาวนาไทย!!



ชาวนาไทยมีภัยรอบด้าน
 ชาวนาหรือคนปลูกข้าวคือคนเดียวกัน จึงขอกล่าวว่าชาวนามีภัย คือปัญหาที่ขัดข้อง  ภัย คือสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ภัยคือสิ่งก่อความยุ่งยาก ความลำบากให้ชาวนาไทย  ได้มีนักคิดหลายท่านกล่าวให้แง่คิดว่า “ทุก  ๆปัญหาย่อมมีทางออก แต่สำหรับชาวนาไทยแล้วทุก ๆ ทางออกมีแต่ปัญหา  การทำนาปลูกข้าวต้องใช้อาศัยแรงกายมาก  ชาวนา ต้องหลังสู้ฟ้าหน้าสู้โคลนตม ทุกข์ระทม ตรอมตรม ขื่นขมมานานนับ  ชาวนาไทยจึงมีภัยรอบด้าน ผลผลิตออกดีก็มีภัยเกี่ยวกับราคา ผลผลิตดีโดนนายทุนกดราคา  ภัยธรรมชาติทั้งภัยแล้งข้าวก็ตาย  ภัยน้ำท่วมต้นข้าวก็ตาย  รัฐบาลไม่เคยสนใจแก้ไขปัญหาของชาวนาอย่างจริงจังอย่างเป็นระบบและครบวงจรไม่ว่ายุคใดสมัย  จนปัจจุบันคนเหล่านั้นได้ทิ้งไร่ทิ้งนาเข้าสู่ตลาดแรงงานในเมืองใหญ่ ๆ แบบขอตายเอาดาบหน้า  ส่วนหนึ่งก็หนี้เพราะล้มละลายทำนามาจนสิ้นเนื้อประดาตัว ทำนามาจนหมดสิทธิ์ความเป็นเจ้าของที่นา เพราะกลุ่มบุคคลทุกเหล่านี้มีอาชีพที่โดนเขาเอาเปรียบจนไม่สามารถดำรงอาชีพอยู่ต่อไปได้  เมื่อเผชิญภัยนานัปการ  จำเป็นชาวนาก็ต้องย้ายถิ่นเข้าสู่สังคมเมืองใหญ่ และได้กลายสภาพเป็นคนรับจ้างขายแรงงานในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ ๆ ทั้งหลายตามที่เห็นกันดาษดื่นทุกวันนี้
 ๑. ภัยด้านค่านิยม (Value)หากใครมีอาชีพเป็นชาวนา  ก็มักจะได้รับการดูถูกว่าเป็นคนป่าเถื่อน  เป็นคนบ้านนอก คือนอกชายขอบอีกที่หนึ่ง  ในบรรดาของคนด้อยโอกาสทางสังคมทั้งหลาย เขาจัดเป็นพวกคนชายขอบ แต่สำหรับชาวนาจัดเป็นประเภทคนด้อยโอกาสพิเศษ “เป็นคนนอกชายขอบ”อีกทีหนึ่ง  “เป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่มีพื้นที่ทางสังคม ไม่มีค่านิยมรองรับ”โดยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะไปติดต่อราชการงานเมืองที่ไหน ๆ ก็ตาม จะถูกกีดกันไว้ให้เป็นคนประเภทที่สาม คือ คนที่เข้าไม่ถึงซึ่งสิทธิ์ เป็นกลุ่มบุคคลที่มีสิทธิ์  ที่เข้าไม่ถึงสิทธิ์ หรือเป็นผู้มีสิทธิ์ที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ใช้สิทธิ์นั้น
 ใครต่อราสินค้าของชาวนาซื้อในราคาที่ถูกสุด ราคาน้อยสุดได้กลายเป็นคนดี  กลายเป็นเก่งในสายตาของสังคม  แต่ในขณะเดียวกันไป Big C, ไป Tesco  Lotus, ไป คลินิก  ใครต่อราคากลายเป็นเรื่องที่น่าอับอาย  ใครต่อราคาต้องโดนประณามหยามเหยียด นี้คือค่านิยมที่ไม่น่านิยม  หรือค่านิยมแห่งความอยุติธรรม
 เห็นยายคนหนึ่งถือตะกร้าหมากขึ้นรถเมล์  กินหมากบนรถเมล์ คนมันมองเหมือนสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่โคตรมันไม่เคยเห็นมาก่อน  แต่พอเห็นฝรั่งไม่ใส่เสื้อ ตัวแดงเถือกเหมือควายเผือกกลางทุ่งนา  ถือสิ่งของรุงรังขึ้นรถเมล์ดูคล้ายเปรตตัวหนึ่ง  แต่สังคมกลับมองเป็นเรื่องสวยหรู  ชื่นชม  ฝรั่งทำอะไรก็ดูดีไปหมด นี้คือค่านิยมแห่งความเป็นทาสฝรั่ง คือความเป็นทาสพวกตะวันตก  ค่านิยมแห่งความอยุติธรรม 
 ๒.  ภัยด้านโอกาส (Opportunity)แม้ในรัฐธรรมนูญจะตราไว้ว่าทุกคนมีสิทธิ์โดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีสิทธิ์ส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยได้อย่างเท่าเทียมกัน  มีสิทธิส่งลูกเรียนแพทย์เรียนหมอได้  มีสิทธิส่งลูกเรียนระดับปริญญาโท ปริญญาเอกได้  หากคำนวณดูแล้วทำนา  ๒  ปีแล้วขายข้าวยังไม่พอค่าธรรมเนียม  ๑  ภาคเรียนเลย  ยังไม่ต้องพูดถึงค่าหน่วยกิต ทุกคนมีสิทธิตั้งโรงงานอุตสาหกรรมได้  มีสิทธิตั้งบริษัทได้  แม้จะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญก็จริง แต่ไม่มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้  ซึ่งจะเห็นได้ว่าชาวนาไทยนอกจากจะมีภัยรอบด้านแล้ว  ยังเป็นกลุ่มบุคคลที่มีภัยด้านโอกาส คือ “เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีโอกาสที่จะเข้าถึงซึ่งโอกาส” หมายถึงไม่มีโอกาสจะเป็นไปได้   เหมือนบอกว่าทุกคนมีสิทธิ์เดินทางผ่านป่าไม้นั้นได้  แต่ว่าป่าไม้นั้นเต็มเสือดุร้าย ด้วยงูพิษ เต็มไปด้วยสัตว์ป่าที่ดุร้ายนานาชนิด ด้วยเส้นทางอันแสนยาวไกล  โอกาสเดินก็แสนจะลำบากแล้ว  โอกาสที่รอดก็แทบจะไม่มี  จึงไม่โอกาสที่จะใช้โอกาสนั้น  จึงเป็นการเขียนไว้ที่ไร้ซึ่งความเป็นจริง
 ๓. กระแสโลกาภิวัตน์(Globalization) หรือกระแสแห่งฟ้ามิอาจกั้น(ฟ้าบ่กั้น)  ภายใต้วาทกรรม(Discourse)ของคำที่ว่า การพัฒนา(Development)นั้น กลายเป็นกระแสที่พัดพาเอาความอยุติธรรมมาสู่วิถีชีวิตของชาวนาไทยโดยมิอาจคัดค้านและทัดทานไว้ได้  มาโหมกระหน่ำซ้ำเติมวิถีชีวิตชาวนาไทยให้ต่ำต้อยด้อยค่าลงมากขึ้น จาก“กระแสโลกาภิวัตน์ กลายเป็นกระแสแห่งโลกาวิบัติ”ซ้ำเติมพวกชาวนาให้มีชะตากรรมตกต่ำมากยิ่งขึ้น ในน้ำก็ไร้ซึ่งปลา ในที่นาเต็มไปด้วยหนี้สิน   จึงไม่เห็นด้วยกับกระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน และไม่มีความวางใจในกระแสโลกาภิวัตน์แม้ในอนาคต ตามเหตุผลดังกล่าวแล้ว เพราะความเป็นจริงกระแสโลกาภิวัตน์ไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวนาเท่า  หากแต่ได้มีผลกระทบคนไทยทั้งชาติ  กระแสโลกาภิวัตน์ได้ทำลายความหลากหลายทางสังคมโลก  ทำลายความหลากหลายทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นวัฒนธรรมหนึ่งเดียว  ทำให้คนคิดอย่างเดียวกัน ทำให้คนแต่งกายแบบเดียวกัน มีวิถีชีวิตอย่างเดียวกัน ซึ่งผิดธรรมชาติโดยสิ้นเชิง เพราะธรรมชาติคือความหลากหลาย  หรืออาจกล่าวได้ว่า กระแสโลกาภิวัตน์ก่อให้เกิดกระแสการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม เกิดการยึดครองทางวัฒนธรรม โดยวัฒนธรรมของชาติมหาอำนาจที่มีอิทธิพลในการควบคุมข่าวสารข้อมูล  ควบคุมการผลิตสื่อก็ไม่น่าจะผิด
  แต่อย่างก็ตาม  หากสังคมไทยยังต้องการให้ชาวนาไทยดำรงชีวิตอยู่แบบดั้งเดิม  ที่มีวิถีชีวิตอยู่แบบเรียบง่าย  ไม่มีหนี้สิน  อยู่กินแบบพอเพียง  อยู่กับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมแบบเป็นมิตร  ชาวนาเขาคิดเสมอว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม  รักสิ่งแวดล้อมก็คือรักษาวิถีชีวิตของชาวนาเอง
 กระแสความแปลกแยก  ความแปลกปลอมทั้งหลายมันมากับกระแสการพัฒนาหลัก  ซึ่งเป็นการพัฒนาแบบรวมศูนย์อำนาจ  รวมศูนย์ทางคิด  แนวคิดการพัฒนาลงจากข้างสู่ชาวบ้าน  สู่ชุมชน และมีหลาย ๆเรื่องที่ชาวบ้านที่ชุมชนเขาไม่ต้องการ เพราะไม่มีจำเป็นกับวิถีชีวิตของเขา  “เป็นการพัฒนาแบบหยัดเหยียด  ข่มขืนกระทำชำเราท้องถิ่น เป็นการพัฒนาแบบขืนใจที่ไม่อาจขัดขืนหรือปฏิเสธได้” การพัฒนาที่ผ่านมาจึงได้ทำลายวิถีชีวิตของชุมชนโดยเฉพาะชุมชนชาวนาตลอดมา ยิ่งได้รับอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ด้วยแล้วยิ่งทำให้การทำลายล้างมีอานุภาพมาก  ทำลายได้มากขึ้น “เหมือนยักษ์ติดขีปนาวุธ”  กระแสของโลกาภิวัตน์จึงกลายเป็นตัวเร่งมันจะทำลายมนุษย์  มันจะกินมนุษย์และสรรพสัตว์ได้มากขึ้น  ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นผลกระทบในทางลบมากกว่าทางบวก

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

ความจริงของชีวิตชาวนาไทยที่ต้องเป็นหนี้

 “กระดูกสันหลังของชาติ”
        วลีข้างต้นใช้กับชาวนาไทย ที่ชีวิตของพวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการประกอบอาชีพของตนเอง ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น สภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน ราคาข้าวตกต่ำ พ่อค้าคนกลางกดราคารับซื้อข้าวจากชาวนา รวมถึง ธรรมชาติที่แปรปรวน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชาวนาไทยมานักต่อนัก
        ณ บ้านเพราม ต.ใหม่ อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา เป็นอีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา ต้องวนเวียนอยู่กับธรรมชาติที่ปรวนแปร ทั้งภัยแล้งและอุทกภัย
        สภาพใบหน้าที่อิดโรยของลุงมา สำเนากลาง บ่งบอกถึงความทุกข์ ซึ่งแววตาแสดงถึงความสิ้นหวัง ลุงมาได้เอ่ยกับผมว่า...........
        “ฉันทำนามา 50 ไร่ กู้เงินสหกรณ์มา 50,000 บาท เป็นค่าใช้จ่าย เมื่อวันก่อนเห็นข้าวออกรวงเป็นสีทอง ไอ้ฉันก็ดีใจที่ปีนี้จะได้ปลดหนี้ซะที ดูๆ ไปแล้วข้าวคงจะได้เยอะกว่าทุกปี”
        เช้าวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ฝันของลุงมาสลายไปกับสายน้ำ ซึ่งไหลบ่าท่วมท้นเหนือรวงข้าวในท้องนาของเขา ลุงมาได้แต่นั่งกอดเข่ามองน้ำที่เต็มท้องทุ่ง พร้อมกับเอ่ยอย่างปลงตกว่า........
        “เห็นอย่างนี้ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงถึงจะเกี่ยวข้าวได้ แค่ได้ไว้กินก็บุญหลายแล้ว และทีนี้ ฉันจะหาเงินจากที่ไหนมาใช้หนี้เขาล่ะเนี่ย??”
        ป้าลอย ตีกลาง น้าเฉลียว สามกำปัง และพี่เสาวนีย์ เกตกลาง เป็นอีกสามคนที่รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่นาในครั้งนี้ ทั้งสามได้ถ่ายทอดถึงความทุกข์ใจให้ผมฟังว่า.......
        “เมือสองวันก่อน ทางอำเภอได้มาบอกให้คนในหมู่บ้านลงภัยน้ำท่วม (ลงชื่อกับ ธ.ก.ส.เพื่อรับค่าเสียหายจากน้ำท่วม) แต่ไม่มีใครไปลง และไม่มีใครคิดว่าอยู่ๆ น้ำก็ท่วมที่นา ตอนนั้นฉันเห็นอยู่ว่าข้าวจะเกี่ยวได้อยู่แล้ว ไม่เคยมีน้ำท่วมตอนจะเกี่ยวข้าวมาก่อนเลยด้วย”
        “ไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไร ทำนาอยู่ทุกปีก็ไม่เคยหมดหนี้ หนำซ้ำตอนนี้น้ำยังท่วมข้าวอีก และไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้าวที่จมน้ำไว้พอกินหรือเปล่า??” ป้าลอยเสริม
        ภาพเบื้องหน้า ป้าลอยถือกะละมังลงไปในนาข้าวที่มีระดับน้ำเลยช่วงเอว พร้อมกับก้มหน้าก้มตาเกี่ยวข้าว สักพักเมื่อข้าวเต็มกะละมัง ป้าลอยนำมาวางไว้ริมคันนา ด้วยร่างกายอันสั่นเทา เหตุเพราะช่วงนี้ อากาศหนาวเริ่มมาเยือน
        ขณะที่ป้าฑูรย์ - ศิริพร อาชญาทา กลับจากไปดูที่นาของตนเองด้วยใบหน้าหมองเศร้า ป้าฑูรย์นั่งลงบนพื้นอย่างเหนื่อยล้า พร้อมกับเอ่ยว่า......
        “ถึงป้าจะทำนาไม่มาก เพราะตอนนี้ก็เป็นเบาหวาน แต่ป้าก็ตั้งใจเต็มที่ ตอนหว่านกล้า ป้าก็จะมานั่งถอนหญ้าทุกวัน ช่วงน้ำแล้งก็เสียค่าสูบน้ำเลี้ยงต้นข้าว พอป้าจะเกี่ยว น้ำก็ท่วมอีก อย่างปีที่แล้วน้ำก็ท่วมตอนที่ข้าวกำลังตั้งท้อง แล้วไม่ได้อะไรเลย ทีแรกก็ว่าจะไม่ทำ และเอาเงินที่ลงทุนทำนาไปซื้อข้าวกินดีกว่า พอเห็นฝนตกลงมา ป้าก็ให้รถไถไปไถตรงที่นา อาจจะมีความสุขบ้างที่ได้ทำงานที่เราชอบ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเครียด เพราะป้าตั้งใจมาก”
        เมื่อผมฟังถึงตรงนี้ จึงได้แต่ปลอบใจป้าฑูรย์ว่า.....
        “อย่าคิดอะไรมากเลยครับ เดี๋ยวน้ำตาลจะขึ้น (เป็นคำเรียกอาการของโรคเบาหวาน)
        เมื่อผมเห็นความยากลำบากของคนที่เป็น “กระดูกสันหลังของชาติ” ในใจได้แต่คิดว่า เมื่อใหร่ อาชีพเกษตรกรรมอันเก่าแก่ ตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษของเรา จะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแก้ปัญหาอย่างถูกจุดตรงต้นเหตุอย่างเป็นระบบ โดยมิใช่ที่ปลายแบบขอไปทีอย่างเช่นในปัจจุบัน
        สำหรับสาเหตุน้ำท่วมนา น้าเฉลียวและพี่เสาวนีย์ได้บอกตรงกันว่า.........
        “น้ำเขาปล่อยออกมาจากทางอำเภอด่านขุนทดและโนนไทย ที่นาแถวนี้จึงเป็นที่รับน้ำ ข้าวก็เลยจมอย่างที่เห็น หรือนาของชาวบ้านใกล้ๆกับฝายลำเชียงไกร ที่รับน้ำมาจากเขื่อนลำตะคอง ฉันสังเกตว่า สามปีมานี้ น้ำจะท่วมเฉพาะแถวๆนี้ ฉันลงทุนทั้งแรงกาย และแรงเงินในที่นา แต่ต้องพบกับความผิดหวังซ้ำๆซากๆ”
        น้าเฉลียวยังเสริมอีกว่า.........
        “ฉันทำนา 11 ไร่ ตอนแรกลงทุนซื้อเมล็ดพันธุ์ ค่าไถนา เมื่อฝนแล้งก็ต้องลงทุนสูบน้ำเข้านาและซื้อปุ๋ยใส่เพิ่มเติม พอเห็นข้าวออกรวง ฉันรู้สึกดีใจมาก เดินมาดูทุกวัน คิดในใจว่าอีกวันสองวันถึงลงมือเกี่ยวข้าว มาดูตอนเช้าอีกที เห็นน้ำปริ่มข้าวซะแล้ว ฉันจึงต้องรีบเก็บเกี่ยวก่อนที่ข้าวจะเน่าหมด”
        หากข้าวจมน้ำราวๆ 4 วัน จะเน่าเสีย ถึงแม้จะเก็บเกี่ยวแล้วนำไปจำหน่าย ก็จะขายได้ราคาไม่มากนัก เป็นเพราะข้าวอับชื้นนั่นเอง
        ส่วนบางคนเห็นข้าวอยู่ในจานมักจะไม่รู้คุณค่า รวมทั้งกรรมวิธีการผลิต ซึ่งกว่าจะได้มาเป็นข้าวสวยอยู่ในจานเช่นนี้ ต้องผ่านความยากลำบากเพียงใด ขณะที่บางคนประกอบอาชีพทำนาแท้ๆ กลับต้องซื้อข้าวมารับประทาน แทนที่จะนำข้าวที่ตนเองปลูกมาหุงหาทานกันเอง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถควบคุมธรรมชาติให้เป็นดั่งใจต้องการ หากกำหนดได้ พวกเขาคงจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ คงไม่ต้องให้บรรดาลูกหลานออกไปทำงานต่างถิ่น และได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวเหมือนกับครั้งอดีต
        จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ชาวนาไทยถึงลืมตาอ้าปากไม่ได้ ทั้งๆที่พวกเขามิได้เกียจคร้าน ถึงแม้ฝนจะตก แดดจะออก พวกเขายังเดินก้มหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินทำนากันต่อไป ในโคราชส่วนใหญ่ทำนากันปีละครั้งเท่านั้น หากฝนไม่ตกตามฤดูกาลราวๆ สองหรือสามสัปดาห์ น้ำในนาจะแห้งขอด อีกทั้งแหล่งกักเก็บน้ำมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ
        ทางส่วนราชการเคยแนะนำให้ปลูกพืชชนิดอื่นทดแทน แต่ทว่า......... ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าควรปลูกพืชชนิดใดทดแทน อีกทั้งยังเกรงว่า เมื่อพวกเขาลงทุนไปแล้ว กลับมีหนี้สินพอกพูนขึ้นมาอีกคำรบ
        คุณวิชัย ซุ่นกลาง ผู้ใหญ่บ้านเพราม เป็นอีกผู้หนึ่ง ซึ่งมีที่นาประสบปัญหาอุทกภัยเช่นเดียวกัน เขาได้บอกกับผมว่า.......
        “ทางส่วนราชการทำภัยน้ำท่วมไร่ละ 600 กว่าบาท แต่ตอนที่มาทำ น้ำยังท่วมไม่มาก หลังจากนั้นน้ำท่วมที่นาของชาวบ้านกันถ้วนหน้า และพบกับความเดือดร้อนทุกครัวเรือน ฉันอยากฝากให้ทางส่วนราชการนำเมล็ดพันธุ์ข้าวมาแจก และปุ๋ยราคาถูกมาขาย เพื่อให้พวกชาวบ้านได้ทำนาในปีต่อไป”
        “ทำนาลำบากและขาดทุนอยู่ทุกปี ยังคิดจะทำอีกหรือครับ” ผมเอ่ยถามถึงสิ่งที่ยังค้างคาใจ
        “ปู่ ย่า ตา ยายของฉันทำนา ฉันก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำ แล้วจะให้ไปทำอะไรล่ะ?? ถึงรู้ว่าลำบาก และเสี่ยงกับการขาดทุน ยังไงก็ต้องทำ ถ้าถึงเวลาที่เขาทำนา คนอื่นเขาทำกันหมด แล้วเราจะอยู่เฉยๆ ได้ยังไง” ผู้ใหญ่วิชัยเอ่ยอย่างหนักแน่น
        นี่คือภาพชีวิตของชาวนาอีสาน ที่รัฐบาลหลายชุดไม่สามารถบรรเทาปัญหานี้ให้เบาบางลงได้
        เมื่อผมมองไปที่ท้องนา ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำ ความรู้สึกเสียดายเกิดขึ้นภายในใจ ซึ่งระยะเวลาราวๆ 3 - 4 สัปดาห์หลังจากนี้ น้ำที่ท่วมอยู่ก็จะแห้งขอดไป โดยไม่ก่อเกิดประโยชน์อันใดขึ้นมา ทั้งๆที่ น้ำจำนวนนี้สามารถนำไปใช้ในการเพาะปลูกพืชชนิดอื่น แต่ก็สะดุดปัญหาตรงไม่มีที่กักเก็บไว้ใช้ในยามฝนทิ้งช่วง ถึงเวลานั้นชาวบ้านต้องมาแย่งสูบน้ำเช่นเดิม หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถแก้ไขปัญหาส่วนนี้ คงเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดทีเดียว
        ดีกว่านำเงินมาแจกจ่ายให้ชาวนา แบบไม่คุ้มค่ากับความเสียหายในทุกๆปี