วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ภัยด้านอะไรที่เป็นปัญหาของชาวนาไทย!!



ชาวนาไทยมีภัยรอบด้าน
 ชาวนาหรือคนปลูกข้าวคือคนเดียวกัน จึงขอกล่าวว่าชาวนามีภัย คือปัญหาที่ขัดข้อง  ภัย คือสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ภัยคือสิ่งก่อความยุ่งยาก ความลำบากให้ชาวนาไทย  ได้มีนักคิดหลายท่านกล่าวให้แง่คิดว่า “ทุก  ๆปัญหาย่อมมีทางออก แต่สำหรับชาวนาไทยแล้วทุก ๆ ทางออกมีแต่ปัญหา  การทำนาปลูกข้าวต้องใช้อาศัยแรงกายมาก  ชาวนา ต้องหลังสู้ฟ้าหน้าสู้โคลนตม ทุกข์ระทม ตรอมตรม ขื่นขมมานานนับ  ชาวนาไทยจึงมีภัยรอบด้าน ผลผลิตออกดีก็มีภัยเกี่ยวกับราคา ผลผลิตดีโดนนายทุนกดราคา  ภัยธรรมชาติทั้งภัยแล้งข้าวก็ตาย  ภัยน้ำท่วมต้นข้าวก็ตาย  รัฐบาลไม่เคยสนใจแก้ไขปัญหาของชาวนาอย่างจริงจังอย่างเป็นระบบและครบวงจรไม่ว่ายุคใดสมัย  จนปัจจุบันคนเหล่านั้นได้ทิ้งไร่ทิ้งนาเข้าสู่ตลาดแรงงานในเมืองใหญ่ ๆ แบบขอตายเอาดาบหน้า  ส่วนหนึ่งก็หนี้เพราะล้มละลายทำนามาจนสิ้นเนื้อประดาตัว ทำนามาจนหมดสิทธิ์ความเป็นเจ้าของที่นา เพราะกลุ่มบุคคลทุกเหล่านี้มีอาชีพที่โดนเขาเอาเปรียบจนไม่สามารถดำรงอาชีพอยู่ต่อไปได้  เมื่อเผชิญภัยนานัปการ  จำเป็นชาวนาก็ต้องย้ายถิ่นเข้าสู่สังคมเมืองใหญ่ และได้กลายสภาพเป็นคนรับจ้างขายแรงงานในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ ๆ ทั้งหลายตามที่เห็นกันดาษดื่นทุกวันนี้
 ๑. ภัยด้านค่านิยม (Value)หากใครมีอาชีพเป็นชาวนา  ก็มักจะได้รับการดูถูกว่าเป็นคนป่าเถื่อน  เป็นคนบ้านนอก คือนอกชายขอบอีกที่หนึ่ง  ในบรรดาของคนด้อยโอกาสทางสังคมทั้งหลาย เขาจัดเป็นพวกคนชายขอบ แต่สำหรับชาวนาจัดเป็นประเภทคนด้อยโอกาสพิเศษ “เป็นคนนอกชายขอบ”อีกทีหนึ่ง  “เป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่มีพื้นที่ทางสังคม ไม่มีค่านิยมรองรับ”โดยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะไปติดต่อราชการงานเมืองที่ไหน ๆ ก็ตาม จะถูกกีดกันไว้ให้เป็นคนประเภทที่สาม คือ คนที่เข้าไม่ถึงซึ่งสิทธิ์ เป็นกลุ่มบุคคลที่มีสิทธิ์  ที่เข้าไม่ถึงสิทธิ์ หรือเป็นผู้มีสิทธิ์ที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ใช้สิทธิ์นั้น
 ใครต่อราสินค้าของชาวนาซื้อในราคาที่ถูกสุด ราคาน้อยสุดได้กลายเป็นคนดี  กลายเป็นเก่งในสายตาของสังคม  แต่ในขณะเดียวกันไป Big C, ไป Tesco  Lotus, ไป คลินิก  ใครต่อราคากลายเป็นเรื่องที่น่าอับอาย  ใครต่อราคาต้องโดนประณามหยามเหยียด นี้คือค่านิยมที่ไม่น่านิยม  หรือค่านิยมแห่งความอยุติธรรม
 เห็นยายคนหนึ่งถือตะกร้าหมากขึ้นรถเมล์  กินหมากบนรถเมล์ คนมันมองเหมือนสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่โคตรมันไม่เคยเห็นมาก่อน  แต่พอเห็นฝรั่งไม่ใส่เสื้อ ตัวแดงเถือกเหมือควายเผือกกลางทุ่งนา  ถือสิ่งของรุงรังขึ้นรถเมล์ดูคล้ายเปรตตัวหนึ่ง  แต่สังคมกลับมองเป็นเรื่องสวยหรู  ชื่นชม  ฝรั่งทำอะไรก็ดูดีไปหมด นี้คือค่านิยมแห่งความเป็นทาสฝรั่ง คือความเป็นทาสพวกตะวันตก  ค่านิยมแห่งความอยุติธรรม 
 ๒.  ภัยด้านโอกาส (Opportunity)แม้ในรัฐธรรมนูญจะตราไว้ว่าทุกคนมีสิทธิ์โดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีสิทธิ์ส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยได้อย่างเท่าเทียมกัน  มีสิทธิส่งลูกเรียนแพทย์เรียนหมอได้  มีสิทธิส่งลูกเรียนระดับปริญญาโท ปริญญาเอกได้  หากคำนวณดูแล้วทำนา  ๒  ปีแล้วขายข้าวยังไม่พอค่าธรรมเนียม  ๑  ภาคเรียนเลย  ยังไม่ต้องพูดถึงค่าหน่วยกิต ทุกคนมีสิทธิตั้งโรงงานอุตสาหกรรมได้  มีสิทธิตั้งบริษัทได้  แม้จะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญก็จริง แต่ไม่มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้  ซึ่งจะเห็นได้ว่าชาวนาไทยนอกจากจะมีภัยรอบด้านแล้ว  ยังเป็นกลุ่มบุคคลที่มีภัยด้านโอกาส คือ “เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีโอกาสที่จะเข้าถึงซึ่งโอกาส” หมายถึงไม่มีโอกาสจะเป็นไปได้   เหมือนบอกว่าทุกคนมีสิทธิ์เดินทางผ่านป่าไม้นั้นได้  แต่ว่าป่าไม้นั้นเต็มเสือดุร้าย ด้วยงูพิษ เต็มไปด้วยสัตว์ป่าที่ดุร้ายนานาชนิด ด้วยเส้นทางอันแสนยาวไกล  โอกาสเดินก็แสนจะลำบากแล้ว  โอกาสที่รอดก็แทบจะไม่มี  จึงไม่โอกาสที่จะใช้โอกาสนั้น  จึงเป็นการเขียนไว้ที่ไร้ซึ่งความเป็นจริง
 ๓. กระแสโลกาภิวัตน์(Globalization) หรือกระแสแห่งฟ้ามิอาจกั้น(ฟ้าบ่กั้น)  ภายใต้วาทกรรม(Discourse)ของคำที่ว่า การพัฒนา(Development)นั้น กลายเป็นกระแสที่พัดพาเอาความอยุติธรรมมาสู่วิถีชีวิตของชาวนาไทยโดยมิอาจคัดค้านและทัดทานไว้ได้  มาโหมกระหน่ำซ้ำเติมวิถีชีวิตชาวนาไทยให้ต่ำต้อยด้อยค่าลงมากขึ้น จาก“กระแสโลกาภิวัตน์ กลายเป็นกระแสแห่งโลกาวิบัติ”ซ้ำเติมพวกชาวนาให้มีชะตากรรมตกต่ำมากยิ่งขึ้น ในน้ำก็ไร้ซึ่งปลา ในที่นาเต็มไปด้วยหนี้สิน   จึงไม่เห็นด้วยกับกระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน และไม่มีความวางใจในกระแสโลกาภิวัตน์แม้ในอนาคต ตามเหตุผลดังกล่าวแล้ว เพราะความเป็นจริงกระแสโลกาภิวัตน์ไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวนาเท่า  หากแต่ได้มีผลกระทบคนไทยทั้งชาติ  กระแสโลกาภิวัตน์ได้ทำลายความหลากหลายทางสังคมโลก  ทำลายความหลากหลายทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นวัฒนธรรมหนึ่งเดียว  ทำให้คนคิดอย่างเดียวกัน ทำให้คนแต่งกายแบบเดียวกัน มีวิถีชีวิตอย่างเดียวกัน ซึ่งผิดธรรมชาติโดยสิ้นเชิง เพราะธรรมชาติคือความหลากหลาย  หรืออาจกล่าวได้ว่า กระแสโลกาภิวัตน์ก่อให้เกิดกระแสการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม เกิดการยึดครองทางวัฒนธรรม โดยวัฒนธรรมของชาติมหาอำนาจที่มีอิทธิพลในการควบคุมข่าวสารข้อมูล  ควบคุมการผลิตสื่อก็ไม่น่าจะผิด
  แต่อย่างก็ตาม  หากสังคมไทยยังต้องการให้ชาวนาไทยดำรงชีวิตอยู่แบบดั้งเดิม  ที่มีวิถีชีวิตอยู่แบบเรียบง่าย  ไม่มีหนี้สิน  อยู่กินแบบพอเพียง  อยู่กับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมแบบเป็นมิตร  ชาวนาเขาคิดเสมอว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม  รักสิ่งแวดล้อมก็คือรักษาวิถีชีวิตของชาวนาเอง
 กระแสความแปลกแยก  ความแปลกปลอมทั้งหลายมันมากับกระแสการพัฒนาหลัก  ซึ่งเป็นการพัฒนาแบบรวมศูนย์อำนาจ  รวมศูนย์ทางคิด  แนวคิดการพัฒนาลงจากข้างสู่ชาวบ้าน  สู่ชุมชน และมีหลาย ๆเรื่องที่ชาวบ้านที่ชุมชนเขาไม่ต้องการ เพราะไม่มีจำเป็นกับวิถีชีวิตของเขา  “เป็นการพัฒนาแบบหยัดเหยียด  ข่มขืนกระทำชำเราท้องถิ่น เป็นการพัฒนาแบบขืนใจที่ไม่อาจขัดขืนหรือปฏิเสธได้” การพัฒนาที่ผ่านมาจึงได้ทำลายวิถีชีวิตของชุมชนโดยเฉพาะชุมชนชาวนาตลอดมา ยิ่งได้รับอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ด้วยแล้วยิ่งทำให้การทำลายล้างมีอานุภาพมาก  ทำลายได้มากขึ้น “เหมือนยักษ์ติดขีปนาวุธ”  กระแสของโลกาภิวัตน์จึงกลายเป็นตัวเร่งมันจะทำลายมนุษย์  มันจะกินมนุษย์และสรรพสัตว์ได้มากขึ้น  ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นผลกระทบในทางลบมากกว่าทางบวก

2 ความคิดเห็น:

  1. โดนโกงค่าข้าว หรือว่ากดราคาค่าข้าว :)))

    ตอบลบ
  2. ด้านราคาข้าว ด้านแมลงกัดกินใบข้าว และด้านอุทกภัย

    ตอบลบ