วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วิถีชนบท "ชาวนาไทยนั้นมีความยากจนจริงหรือไม่"



วิถีชีวิตชนบทชาวนาไทย ปีพุทธศักราช ๒๕๐๘- ๒๕๒๓ [อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก]
ต้นปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ การเกษตรกรรมยังคงเป็นแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง ยังไม่มีเครื่องจักรกลผ่อนแรงหรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกใดๆในภาค เกษตรกรรม เว้นก็แต่ รถไถนาขนาดใหญ่ที่จะพบเห็นบ้างในห้วงปลายๆ ของช่วงนี้ ซึ่งนับได้ว่าในห้วงปลายนี้ เป็นห้วงของการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมดั้งเดิมไปสู่สังคมเกษตรกรรมยุค ใหม่ ที่อาศัยเครื่องจักรกลทุ่นแรงมาแทนที่ และได้เข้าสู่ยุคเกษตรกรรมในเชิงพาณิชย์ที่เป็น Mass Productivity
เดือนหกตามปฏิทินไทย [จันทรคติ] ฝนแรก ตกลงมาส่วนใหญ่ก็คล้อยสงกรานต์ไปแล้วสัก 2 สัปดาห์หรือมากกว่าเล็กน้อย น้ำฝนนองขังอยู่ตามท้องทุ่งพอให้ปลาพล่านออกจากหนองแลบึงสวนทางน้ำไหลขึ้นมา โดยเฉพาะปลาหมอไทยนั้นเก่งที่สุด น้ำมีที่ไหน ปลาหมอไปถึงก่อนปลาอื่นๆ และก็เป็นโอกาสของชาวนาที่จุดคบไฟหรือตะเกียงโคม [น้ำมันก๊าด] ถือฉมวก บ้างก็แห บ้างก็ใช้สุมออกหากบและอึ่งอ่างที่ร้องระงมตั้งแต่ตอนหัวค่ำ เดินเลาะเลียบตามหนองคลองบึงไปเรื่อยๆ กบและอึ่งอ่างนั้นสังเกตได้ง่าย เพราะตาต้องกับแสงไฟ เมื่อเดินไปได้ระยะก็ครอบหรือแทงเอา พอใกล้ค่อนรุ่งปลาใหญ่น้อยทั้งหลายก็จะพล่านสวนน้ำขึ้นมา สังเกตได้จากหญ้าที่ไหวหรือเห็นตัวเลยก็มี กว่าจะกลับบ้านก็เช้า บางคนก็เดินไล่เก็บหอยขมหอยโข่งตามทางเดินจนถึงบ้าน
[ฝนแรก หมายถึง ฝนห่าใหญ่ครั้งแรกของปี]
เมื่อคะเนว่าดินท้องนาอ่อนตัว ชาวนาจะเริ่มทำการไถดะ [ไถนาเพื่อตากดิน] โดยใช้ความเป็นหลัก จะมีก็น้อยรายที่ใช้วัวไถนา วิถีชีวิตเริ่มประมาณ ตีสี่ตีห้าของวัน จะได้ยินเสียงกระดึงคอความดังสลับกับเสียงไล่ควายไปตามทางลงทุ่งเป็นระยะๆ การไถนาจะเริ่มทันทีที่รุ่งสาง โดยพ่อบ้านและลูกชาย ส่วนแม่บ้านหรือลูกสาวจะต้องตื่นกันแต่เช้าเช่นกัน เตรียมทำกับข้าวไปส่งที่ทุ่งนา ส่วนใหญ่กับข้าวจะเป็นปลาที่ได้เตรียมเสบียงไว้แต่หน้าแล้งที่ผ่านมา ส่วนผักจะเป็นหน่อไม้ดองที่ได้ขึ้นไปเก็บบนเขามาดองเก็บไว้หลายๆไห หรือถ้าโชคดีหน่อย ก็เป็น ปลา กบ เขียดที่หาได้จากฝนแรกครั้งนี้
กินข้าวพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมง จึงไถนาต่อจนถึงเพล ตอนไถนานี้จะมีสมาชิกมาเดินตามไปเป็นเพื่อ เช่น นกเอี้ยง นกกิ้งโครง มันเดินตามไล่จิกกินแมลงที่กระโดด รวมทั้งไส้เดือนที่ติดมากับหน้าดินที่ถูกพลิกขึ้นมา ชาวนาจะหยุดทานข้าวกลางวันอีกทีก็หลังเพล สมัยก่อนจึงไม่ได้ทานข้าวตอนเที่ยงเหมือนสมัยนี้
กินข้าวพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมง จึงไถนาต่อจนถึงเพล จึงจะมาทานข้าวกลางวัน สมัยก่อนจึงไม่ได้ทานข้าวตอนเที่ยงเหมือนสมัยนี้ บางที่เรียกว่ากินข้าเพลเหมือนพระไปเลย โดยอาศัยเสียงกลองเพลจากวัดหรือจากดวงตะวันแทน ในระหว่างที่พ่อบ้านไถนา ใช่ว่าแม่บ้านจะอยู่เฉยๆ แม่บ้านจะต้องจับจอบขุดมุมนาทั้งสี่ด้านที่ควายไถไปไม่ถึง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นแม่ลูกอ่อน ตอนเช้าก็เดินหาบคอนมาทุ่ง ด้านหน้ามีตะกร้าใส่ลูกน้อย ด้านหลังเป็นเสบียงอาหาร เมื่อถึงนาก็ผูกเปล ใต้ต้นไม้หรือห้างนา [เถียงนา] ที่ได้มาปรับปรุงไว้ก่อนหน้านี้ เรื่องมดไต่ ไรตอมก็ไม่ได้ยุ่งยากมากนัก ลูกชาวนากับมดแมงนั้นคุ้นเคยกันดีอยู่
[เปลผ้าถุง หมายถึง เปลที่ใช้ผ้าถุงของแม่ สอดเชือกในผ้าถุงไปกลับ ปล่อยปลายเชือกทั้งสองด้านไว้ ตัวลูกก็อยู่ระหว่างเชือกสองเส้น ให้ไม้ถ่างหัวท้ายกว้างพอประมาณ]
ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วยย้อมสีคราม ตอนเช้ายังไม่ใส่เสื้อ สายๆหน่อยถึงจะใส่เสื้อผ้าดิบย้อมสีคราม ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงและเสื้อผ่าดิบย้อมครามเช่นกัน
หลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว ก็จะพักผ่อนนานหน่อย พวกผู้ชายมักจะเดินด่อมๆไปตามที่มีน้ำขัง เก็บหอยโข่ง หอยขมห่อใส่ผ้าขาวม้าไปต้มใส่หน่อไม้ดองเป็นอาหารเย็น
พอบ่ายแก่ๆ ก็จะพักให้ควายกินหญ้าจนใกล้ค่ำ แม่บ้านที่มีลูกหรือมีลูกอ่อนก็จะต้องรีบกลับบ้าน เพื่อเตรียมหุงหาอาหารไว้กินมื้อเย็น แต่ก็ใช่ว่าจะเดินดุ่ยๆกลับบ้านเสียเลยก็ไม่ใช่ จะเดินแวะเก็บผักเรื่อยๆไปจนถึงบ้าน แต่ถ้าเป็นแม่บ้านที่ยังไม่มีลูกก็มักจะกลับพร้อมพ่อบ้าน
ถึงเวลากลับบ้าน พ่อบ้านมักจะทิ้งคันไถและอุปกรณ์ไว้ในนา บางคนก็จมดินไว้ ทั้งๆที่ก็ไม่มีใครมาเอาไป เป็นกิจวัตรของพ่อบ้านที่ต้องต้อนควายกลับบ้าน ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของความ เมื่ออิ่มหนำหรือใกล้ค่ำ ก็จะเดินเล็มหญ้าบ่ายหน้ามาทางบ้านเสมอ พ่อบ้านส่วนใหญ่ก็จะเล็งหาแหล่งน้ำที่ลึกพอจะอาบน้ำก่อนเข้าบ้านไปในคราว เดียวกัน น้ำฝนใหม่นั้นใสจนอดใจไม่ได้ พลบค่ำก็ถึงบ้าน เสียงกระดึงคอความสลับกับเสียงไล่ควายแว่วให้ได้ยินเป็นระยะ บ้านไหนที่แม่บ้านเพิ่งกลับถึงบ้านพร้อมกับพ่อบ้านก็ต้องรีบหุงข้าวทำกับ เสียงครกดัง กกๆๆ ไม่เกินสองทุ่ม ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสงบ จะได้ยินบ้างก็แต่เสียงกระดึงคอควายที่ทันสะบัดไล่ยุงไล่แมลง ในคอกควายจะต้องทำพื้นที่เป็นสองส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่แห้ง อีกส่วนเป็นปลักไว้ให้ควายนอนโคลน เพื่อไม่ให้ยุงหรือแมลงกัดถึง
วิถีชีวิตของแม่ลูกอ่อน หลังจากออกไฟแล้วก็ต้องทำงานตามปกติ แม้กระทั่งระหว่างตั้งครรภ์ก็เหมือนกัน ไม่ได้ปวกเปียกเหมือนเช่นคนปัจจุบัน

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความเชื่อของคนชนบทนี้ เราสามารถนำเอามาใช้ในชีวิตประจำได้หรือไม่เพราะอะไร


 
        “บ้านนี้ไม่มีคนเกิดวันอังคารและวันพุธ”
        ป้ายเหล่านี้มักจะผ่านสายตาผม เมื่อยามไปเยือนหมู่บ้านหลายแห่งในอำเภอโนนสูงและอำเภออื่นๆ ในโคราชบ้านเรา ตามแถบชนบทรอบนอก (เมือง) แทบทุกหลังคาเรือนจะมีป้ายพวกนี้ แขวนอยู่กับตุ๊กตาฟาง ซึ่งสวมเสื้อผ้าของเด็กและผู้ใหญ่หลากสีสัน ที่บริเวณหน้าประตูรั้วบ้านของพวกเขา
        ถึงแม้ว่าผมพอจะรู้ที่มาของการติดป้ายและตุ๊กตาฟางเหล่านี้มาบ้าง แต่ความสงสัยใคร่รู้ที่มิอาจหยุดนิ่งของผม ว่าที่มาจริงๆ ของความเชื่อเรื่องนี้มาจากแหล่งใดกัน
        “เห็นเขาว่ามาจากทางลาว ก็ลือต่อๆกันมาว่าผีแม่ม่ายจะมาเอาตัวคนเกิดวันอังคารและวันพุธ” เสียงจากชาวบ้านระดับรากหญ้าหนึ่งเสียง ยืนยันกับผม
        “ก็มีเฉพาะบ้านที่มีคนเกิดวันอังคารกับวันพุธ เขาจะเอามาติดไว้ ถ้าบ้านไหนไม่มีคนเกิดวันอังคารกับวันพุธ เขาก็จะไม่เอามาติดหรอก” รากหญ้าเสียงเดียวกันย้ำอย่างหนักแน่น
        หากหมุนเวลาย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน ก็มีความเชื่อในแบบเดียวกัน ซึ่งชาวบ้านพากันแตกตื่น และทำพิธีนำขนมจีนหรือข้าวต้มเชิญชวนชาวบ้านในหมู่บ้านไปกินตรงทางสามแพร่ง
        แต่ต่างกันตรงที่ผู้ทำพิธีดังกล่าว คือ คนที่เกิดปีมะ-(โรง,เส็ง,เมีย,แม,วอก อ้าว??? อันหลังไม่เกี่ยวนะครับ) เท่านั้นเอง
        มีหลายคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ เคยตั้งข้อสงสัยว่า ปัจจุบันนี้ก็เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ หรือการสื่อสารไร้พรหมแดน เหตุใดถึงยังมีคนเชื่อเรื่องเช่นนี้อยู่?
        ผมกลับคิดว่า เรื่องเทคโนโลยี วิชาการ วิทยาการ การสื่อสารล้ำยุค หรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์นำสมัย ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ลดทอนความเชื่อให้น้อยลง แต่กลับเกื้อหนุน ส่งเสริมการบอกเล่ากันปากต่อปาก ซึ่งมักจะเป็นการชี้นำ ให้ความเชื่อลักษณะนี้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น
        เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิถีชาวบ้านในท้องถิ่นต่างๆ โดยตรง แม้นความเชื่อเช่นนี้มาจากฝั่งลาว ซึ่งมีลักษณะ ความคิด ความเชื่อ วิถีชีวิต ค่านิยม ประเพณี วัฒนธรรม ระดับการศึกษา และอะไรอีกหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน
        ชาวบ้านระดับรากหญ้า จึงเลือกที่จะรับข่าวสาร ที่ตรงกับความเชื่อภายในใจของตนเองแต่ดั้งเดิม มากกว่าข่าวสารด้านอื่น ซึ่งเผยแพร่ออกช่องทางเดียวกัน แต่มีลักษณะขัดแย้งกัน และเลือกรับสิ่งที่เกิดขึ้นจากความกลัวอันอยู่ก้นบึ้งแห่งจิตใจ จนกลายเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชาวรากหญ้าโดยตรง
        อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ อาจจะหลงลืมบางสิ่ง ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมาช้านาน กับหนทางการแก้ปัญหาทั้งปวง และสามารถขจัดความรู้สึกที่เรียกว่า “ความกลัว” อย่างได้ผลชะงัดที่สุด
        นั่นคือ....
        พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั่นเอง
        “สิ่งทั้งปวงเกิดจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุ สิ่งทั้งปวงก็เกิดมาไม่ได้”
        คำกล่าวของพระพุทธองค์ อันเป็นอมตะวาจา ที่มีมานานกว่าสองพันห้าร้อยปี ซึ่งเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเดินทางไปยังแคว้นโกศล ชาวกาละมะ (ชาวพื้นเมืองแห่งแคว้นโกศล) ได้แสดงข้อสงสัยถึงบรรดาคำสอนต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย พวกตนควรจะเชื่อถือคำสั่งสอนของผู้ใด พระพุทธองค์จึงทรงเทศนาในหลักกาลามสูตร คือ
        >> อย่ายึดถือโดยฟังตามกันมา
        >> อย่ายึดถือโดยการถือสืบๆกันมา
        >> อย่ายึดถือโดยการเล่าลือ
        >> อย่ายึดถือโดยการอ้างตำรา
        >> อย่ายึดถือโดยตรรกกะ
        >> อย่ายึดถือโดยการอนุมาน
        >> อย่ายึดถือโดยการคิดตรึกตรองตามแนวเหตุผล
        >> อย่ายึดถือเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน
        >> อย่ายึดถือเพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อถือ  และ…
        >> อย่ายึดถือเพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
        ดังคำสอนตามหลักกาลามสูตร พระพุทธองค์ทรงเน้นให้เรารู้จักใช้เหตุผลจากการปฏิบัติมากกว่าที่จะใช้ความ รู้สึก (ที่มักเข้าข้างตัวเอง) เป็นที่ตั้ง
        แต่น่าแปลก คำสอนของพระองค์กลับไม่ได้รับการส่งเสริมให้ประชาชนยึดถือปฏิบัติกันมากนัก จนประชาชนไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร เป็นอีกเหตุที่ทำให้เกิดปัญหานานัปการภายในประเทศของเรา
        ความเชื่อเรื่องผีแม่ม่าย ที่มาคร่าชีวิตคน (เกิดวันนั้น, วันนี้, ปีนั้น, ปีนี้) ก็ยังคงดำเนินทำตามหน้าที่ของมันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
        ตราบเท่าที่ชาวรากหญ้า ยังมิอาจเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ หรือ...

        รู้แล้ว แต่ไม่นำไปยึดถือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วิถีชีวิตชาวนาไทยจากอดีตสู่อนาคตนั้น "ท่านคิดว่ามันจะไปในทางที่เจริญขึ้นหรือแย่ลง"



                                       

                                

ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าวที่เราบริโภคอยู่ทุกวันนี้ทำไมเราต้องซื้อข้าวในราคาที่แพงขึ้น  อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ข้าวมีราคาแพง  ปัญหาที่พบอยู่ทุกวันนี้คือความแตกต่างระหว่างราคาข้าวเปลือกกับข้าวสาร  จนรัฐบาลต้องแก้ปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำโดยจัดทำโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเพื่อพยุงราคา  แล้วใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์จากโครงการนี้  ทำไมชาวนาจึงยากจนและมีหนี้สินมากมาย
ในอดีตเมื่อ  30 ปีที่แล้ว  คำขวัญที่ว่า  ในน้ำมีปลาในนามีข้าวเป็นจริงแน่นอน เพราะในชนบทเกือบทุกครัวเรือนจะทำนามียุ้งข้าวและอุปกรณ์การทำนาที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน  เลี้ยงควายไว้ใช้ไถนาและบางครั้งก็ช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวนาได้ด้วย  และมีการทำนาดำเป็นส่วนใหญ่ และครอบครัวชาวนาจะอยู่กันอย่างพี่น้อง เกิดการเอื้ออาทรระหว่างเพื่อนบ้านกัน มีความสมัคคีกันในชุมชนเ ชื่อผู้นำ  มีการใช้ปุ๋ยคอกที่เป็นผลพลอยได้จากสัตวที่เลี้ยง  ทำให้เกิดห่วงโซ่อาหารการใช้ปุ๋ยคอกจะทำให้เกิดความสมดุลย์ในระบบนิเวศน์ ข้าวกล้าในนาเจริญเติบโตดีโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมี ใครมีที่นามากก็จะจ้างแรงงานมาช่วยซึ่งมีอยู่มาก หรือมีการลงแขกทำนาเอาแรงกัน  ดังนั้นต้นทุนการทำนาส่วนใหญ่ในสมัยนี้จึงเป็นต้นทุนด้านค่าแรงงานเป็นส่วนใหญ่ ต้นทุนค่าปุ๋ย สารเคมีไม่ต้องจ่าย จึงไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อใช้ในการทำนา
                        ปัจจุบันในชนบทพบว่า ควายซึ่งเป็นสัตว์คู่ทุกข์คู่ยากนั้นหายไปจากท้องทุ่ง หลายครอบครัวเลิกเลี้ยงควายกันแล้ว และพบว่า หลายครอบครัวจะเลี้ยงวัวแทนด้วยความเชื่อที่ว่าวัวมีราคาแพงและขายง่ายอีกทั้งคนในชนบทนิยมบริโภคเนื้อวัวมากกว่าเนื้อควาย ใต้ถุนบ้านจะพบว่ามีรถไถเดินตามเข้ามาแทนที่ควาย ด้วยความเชื่อที่ว่า ทำงานได้เร็วไม่มีเหนื่อยไม่ต้องมาเลี้ยงและดูแลให้เสียเวลา อย่าลืมว่าเมื่อมีรถไถก็ต้องมีรายจ่ายเพิ่มจากการที่ต้องซื้อน้ำมันมาใส่รถไถเพื่อให้มันทำงาน ผลพลอยได้จากรถไถคือมลพิษ ไม่มีปุ๋ยคอกใส่ในนาต้องซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ในนาแทนที่ปุ๋ยคอก เมื่อใสปุ๋ยเคมีต้องใส่ในปริมาณที่มากข้าวจะได้งามเมื่อใส่ไปมากๆเข้าจะทำให้โครงสร้างของดินนั้นเสียไป ระบบนิเวศน์ถูกทำลายเพราะจุลิยทรีย์ในดินและน้ำไม่มี สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่อยู่ไม่ได้หรือมีการใช้สารเคมีฆ่าหญ้าและสารเคมีฆ่าแมลง  ธรรมชาติไม่สมดุลย์เกิดการระบาดของโรคและแมลง จึงต้องมีการใช้สารเคมีในปริมาณที่มากขึ้น ผลที่ตามมาคือต้นทุนการทำนาที่มากขึ้น ประกอบกับความเจริญทางวัตถุทำให้วิถีชีวิตของชาวนาเปลี่ยนแปลงไป   ในน้ำไม่มีปลาในนาไม่มีข้าว ต้นทุนสูงเนื่องจากปัจจัยการผลิตมีราคาแพง ชาวนาประสบกับภาวะขาดทุนต้องกู้หนี้ยืมสินมาลงทุน บางปีที่เกิดภัยธรรมชาติประสบภาวะขาดทุน ชาวนาบางรายรับไม่ได้ฆ่าตัวตายไปแล้วก็มี
                   ดังนั้นการทำการเกษตรในปัจจุบัน  ถ้าทุกคนใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมและคำนึงถึงระบบนิเวศน์โดยการทำการเกษตรสมัยใหม่ร่วมกับการทำเกษตรแบบดั้งเดิม  จะเป็นการคืนธรรมชาติให้กับแผ่นดินเมื่อนั้น ในน้ำย่อมมีปลาและในนาย่อมมีข้าวแน่นอน
ขอขอบคุณข้อมูลโดย คุณ ตุ้ม
สำนักงานเกษตรจังหวัดหนองคายhttp://gotoknow.org/blog/pitsawat/188901