“บ้านนี้ไม่มีคนเกิดวันอังคารและวันพุธ”
ป้ายเหล่านี้มักจะผ่านสายตาผม เมื่อยามไปเยือนหมู่บ้านหลายแห่งในอำเภอโนนสูงและอำเภออื่นๆ ในโคราชบ้านเรา ตามแถบชนบทรอบนอก (เมือง) แทบทุกหลังคาเรือนจะมีป้ายพวกนี้ แขวนอยู่กับตุ๊กตาฟาง ซึ่งสวมเสื้อผ้าของเด็กและผู้ใหญ่หลากสีสัน ที่บริเวณหน้าประตูรั้วบ้านของพวกเขา
ถึงแม้ว่าผมพอจะรู้ที่มาของการติดป้ายและตุ๊กตาฟางเหล่านี้มาบ้าง แต่ความสงสัยใคร่รู้ที่มิอาจหยุดนิ่งของผม ว่าที่มาจริงๆ ของความเชื่อเรื่องนี้มาจากแหล่งใดกัน
“เห็นเขาว่ามาจากทางลาว ก็ลือต่อๆกันมาว่าผีแม่ม่ายจะมาเอาตัวคนเกิดวันอังคารและวันพุธ” เสียงจากชาวบ้านระดับรากหญ้าหนึ่งเสียง ยืนยันกับผม
“ก็มีเฉพาะบ้านที่มีคนเกิดวันอังคารกับวันพุธ เขาจะเอามาติดไว้ ถ้าบ้านไหนไม่มีคนเกิดวันอังคารกับวันพุธ เขาก็จะไม่เอามาติดหรอก” รากหญ้าเสียงเดียวกันย้ำอย่างหนักแน่น
หากหมุนเวลาย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน ก็มีความเชื่อในแบบเดียวกัน ซึ่งชาวบ้านพากันแตกตื่น และทำพิธีนำขนมจีนหรือข้าวต้มเชิญชวนชาวบ้านในหมู่บ้านไปกินตรงทางสามแพร่ง
แต่ต่างกันตรงที่ผู้ทำพิธีดังกล่าว คือ คนที่เกิดปีมะ-(โรง,เส็ง,เมีย,แม,วอก อ้าว??? อันหลังไม่เกี่ยวนะครับ) เท่านั้นเอง
มีหลายคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ เคยตั้งข้อสงสัยว่า ปัจจุบันนี้ก็เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ หรือการสื่อสารไร้พรหมแดน เหตุใดถึงยังมีคนเชื่อเรื่องเช่นนี้อยู่?
ผมกลับคิดว่า เรื่องเทคโนโลยี วิชาการ วิทยาการ การสื่อสารล้ำยุค หรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์นำสมัย ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ลดทอนความเชื่อให้น้อยลง แต่กลับเกื้อหนุน ส่งเสริมการบอกเล่ากันปากต่อปาก ซึ่งมักจะเป็นการชี้นำ ให้ความเชื่อลักษณะนี้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิถีชาวบ้านในท้องถิ่นต่างๆ โดยตรง แม้นความเชื่อเช่นนี้มาจากฝั่งลาว ซึ่งมีลักษณะ ความคิด ความเชื่อ วิถีชีวิต ค่านิยม ประเพณี วัฒนธรรม ระดับการศึกษา และอะไรอีกหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน
ชาวบ้านระดับรากหญ้า จึงเลือกที่จะรับข่าวสาร ที่ตรงกับความเชื่อภายในใจของตนเองแต่ดั้งเดิม มากกว่าข่าวสารด้านอื่น ซึ่งเผยแพร่ออกช่องทางเดียวกัน แต่มีลักษณะขัดแย้งกัน และเลือกรับสิ่งที่เกิดขึ้นจากความกลัวอันอยู่ก้นบึ้งแห่งจิตใจ จนกลายเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชาวรากหญ้าโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ อาจจะหลงลืมบางสิ่ง ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมาช้านาน กับหนทางการแก้ปัญหาทั้งปวง และสามารถขจัดความรู้สึกที่เรียกว่า “ความกลัว” อย่างได้ผลชะงัดที่สุด
นั่นคือ....
พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั่นเอง
“สิ่งทั้งปวงเกิดจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุ สิ่งทั้งปวงก็เกิดมาไม่ได้”
คำกล่าวของพระพุทธองค์ อันเป็นอมตะวาจา ที่มีมานานกว่าสองพันห้าร้อยปี ซึ่งเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเดินทางไปยังแคว้นโกศล ชาวกาละมะ (ชาวพื้นเมืองแห่งแคว้นโกศล) ได้แสดงข้อสงสัยถึงบรรดาคำสอนต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย พวกตนควรจะเชื่อถือคำสั่งสอนของผู้ใด พระพุทธองค์จึงทรงเทศนาในหลักกาลามสูตร คือ
>> อย่ายึดถือโดยฟังตามกันมา
>> อย่ายึดถือโดยการถือสืบๆกันมา
>> อย่ายึดถือโดยการเล่าลือ
>> อย่ายึดถือโดยการอ้างตำรา
>> อย่ายึดถือโดยตรรกกะ
>> อย่ายึดถือโดยการอนุมาน
>> อย่ายึดถือโดยการคิดตรึกตรองตามแนวเหตุผล
>> อย่ายึดถือเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน
>> อย่ายึดถือเพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อถือ และ…
>> อย่ายึดถือเพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
>> อย่ายึดถือโดยการถือสืบๆกันมา
>> อย่ายึดถือโดยการเล่าลือ
>> อย่ายึดถือโดยการอ้างตำรา
>> อย่ายึดถือโดยตรรกกะ
>> อย่ายึดถือโดยการอนุมาน
>> อย่ายึดถือโดยการคิดตรึกตรองตามแนวเหตุผล
>> อย่ายึดถือเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน
>> อย่ายึดถือเพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อถือ และ…
>> อย่ายึดถือเพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
ดังคำสอนตามหลักกาลามสูตร พระพุทธองค์ทรงเน้นให้เรารู้จักใช้เหตุผลจากการปฏิบัติมากกว่าที่จะใช้ความ รู้สึก (ที่มักเข้าข้างตัวเอง) เป็นที่ตั้ง
แต่น่าแปลก คำสอนของพระองค์กลับไม่ได้รับการส่งเสริมให้ประชาชนยึดถือปฏิบัติกันมากนัก จนประชาชนไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร เป็นอีกเหตุที่ทำให้เกิดปัญหานานัปการภายในประเทศของเรา
ความเชื่อเรื่องผีแม่ม่าย ที่มาคร่าชีวิตคน (เกิดวันนั้น, วันนี้, ปีนั้น, ปีนี้) ก็ยังคงดำเนินทำตามหน้าที่ของมันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ตราบเท่าที่ชาวรากหญ้า ยังมิอาจเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ หรือ...
รู้แล้ว แต่ไม่นำไปยึดถือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ได้...ใช้ในด้านการมีเหตุผลว่าอะไรควรเชื่อและไม่ควรเชื่อ ให้รู้จักคิดตามหลักเหตุและผลที่สมควรจะเป็น
ตอบลบแล้วแต่ความคิดจองวแค่ละคนซะมากกว่า เพราะ บางคนคิดไม่เหมือนกัน บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ :)))
ตอบลบคนเรามีความเชื่อที่ต่างกันไป แต่ละคนก็มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจที่ต่างกัน
ตอบลบ