วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ชาวนาเป็นอาชีพที่เลี้ยงคนไทยมาตลอดและเป้นอาชีพที่สำคัญที่สุดของคนไทยจริงหรือไหม

อาชีพชาวนา
เขียนโดย ลูกชาวนาไทย
        อาชีพชาวนา เป็นอาชีพที่สำคัญของประเทศไทย ชาวนาเป็นผู้ปลูกข้าวมาให้เราได้รับประทาน ซึ่งข้าวนั้นเป็นอาหารหลักของคนไทย เราจึงเรียกชาวนาว่า เปรียบเสมือน "กระดูกสันหลังของชาติ" ชาวนาจะปลูกข้าวในช่วงฤดูฝน และจะเก็บเกี่ยวในช่วงปลายฤดูฝน เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ชาวนาจะชวนชาวนาด้วยกันมาช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าว เพื่อจะเก็บเกี่ยวได้เร็วยิ่งขึ้น ชาวนาก็จะนำข้าวมาขายให้พวกเรา แล้วเราก็จะมีข้าวไว้รับประทานกัน นับว่าชาวนาเป็นบุคคลที่มีประโยชน์ต่อคนไทยทุกคน
  “ข้าว”  กับ  คนไทย”  แยกจากกันไม่ออกมาตั้งแต่ยุคโบราณกาล   แผ่นดินสยามคืออู่ข้าวอู่น้ำ ที่หล่อเลี้ยงชนชาวไทยให้มีอยู่มีกินอย่างอุดม  ข้าวยังเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงผู้คนทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่มหาเศรษฐีไปจนถึงชาวรากหญ้า ประโยชน์อนันต์ของ ข้าวกับชาวไทย บรรยายเท่าไหร่ก็ไม่จบสิ้น 

ในหลวงทรงเกี่ยวข้าว

        ประเทศไทย แผ่นดินที่มีพระมหากษัตริย์ทรงมีพระอัจฉริยะรอบด้าน โดยเฉพาะด้านการเกษตร พระองค์ทรงเห็นความสำคัญของราษฎรไทยที่มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักหล่อเลี้ยงชีวิต โดยเฉพาะข้าวพืชเศรษฐกิจของไทยอย่างถ่องแท้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีวิถีชีวิตของพระองค์ที่เรียบง่ายที่สุด ผมเคยถามพระองค์ว่าทรงโปรดเสวยอะไร พระองค์ท่านบอกคำเดียวว่า 'ข้าว' และยังทรงเล่าต่อด้วยว่า ข้าวพันธุ์ดี คือข้าวหอมมะลิ กลิ่นข้าวเป็นกลิ่นที่หาสิ่งใดมาเทียมได้ยาก นี่คือคำสั้นๆ ที่กระทบจิตใจผมอย่างยิ่ง ข้าวมีความสำคัญต่อชีวิตของเรามากมาย แต่ว่าพวกเราได้มองข้ามความสำคัญของข้าวไป..."




รายได้ ของชาวนาน้อยจริงหรือ


 
 รายได้ของชาวนา  นับเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย  มีหลายคนสงสัยว่ารายได้ชาวนาที่แท้จริงนั้นเทาไหร่ มากหรือน้อย ก็ลองไปเปรียบเทียบกับเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายก็แล้วกันครับ  ชาวนาโดยทั่วๆ ไปแล้วทำนากันต่อครัวเรือน ประมาณ 40 ไร่ มีต้นทุนการผลิตปัจจุบัน ประมาณไร่ละ 3500 บาท เท่ากับว่า 40 ไร่ มีต้นทุนผลิต 140,000 บาท ถ้ามีการจัดการ และการดูแลที่ดี จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ไร่ละ 80-100 ถังต่อไร่ (มากน้อยขึ้นอยู่กับการดูแล และฝีมือ) ซึ่ง 40 ไร่ของชาวนา ผลิตข้าวได้ 32-40 เกวียนต่อครัวเรือน  ราคาข้าวถ้าคิดรวมรายได้จากการชดเชย  อยู่ที่ประมาณ 9500 ต่อเกวียน เท่ากับชาวนาทำนา 40 ไร่ มีรายได้จากการขายข้าวรวมชดเชย 304,000-380,000 บาท   จะมีรายได้สุทธิ 164,000-240,000 บาท ใช้ระยะเวลาในการดูแลจัดการ ตั้งแต่หว่าน - เก็บเกี่ยว ประมาณ 120 วัน หรือ 4 เดือน ซึ่งเท่ากับว่า ชาวนา มีรายได้ต่อครัวเรือน 41,000-60,000 บาท  (ไม่รวมอาชีพเสริม เพราะบางท่านมีอาชีพเสริม เช่นรับจ้างหว่านข้าว พ่นปุ๋ย ฉีดยา ปลูกผัักตามคันนา ฯลฯ) สำหรับพื้นที่การทำนาคิดแบบเฉลี่ย ชาวนาบางคนทำนามากกว่า 40 ไร่ก็เยอะมาก

                              

                   ชาวนาท่านนี้ทำนา 140 ไร่  เก็บเกี่ยวผลผลิต ไ้ด้ ประมาณ 125 เกวียน ต่อ 1 ฤดูปลูก

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การใช้สมุนไพรปราบศัตรูข้าวมีข้อดีอะไรบ้าง


การสกัดสารสมุนไพรนำมาผสมกับแอลกอฮอล์แล้วนำไปฉีดพ่นแทน ประสิทธิภาพจะดีกว่ามาก แต่ยังคงมีข้อจำกัดคือ ใช้ได้ในกรณีสารสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนและไม่สลายตัว เมื่ออยู่ในสภาวะอุณหภูมิสูง จึงต้องคิดหาวิธีใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

สารสกัดพืช
จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปีหนึ่งๆ มีผู้ป่วยเนื่องจากการใช้วัตถุมีพิษประมาณ 5,000 คน ผู้ที่ได้รับวัตถุมีพิษเหล่านี้มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง นอกจากนั้นยังสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางอ่อนแอลงในรุ่นลูกหลาน
บัวเพชร ใจแสน อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ต.วังไก่เถื่อน อ.หันคา จ.ชัยนาท วัย 53 ปี ประธานเกษตรธรรมชาติชุมชนตำบลวังไก่เถื่อน กล่าวถึงการใช้สารสกัดสมุนไพร เพื่อการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ว่าไม่ว่าจะเป็นแบบหมัก คั้น บดผง จะต้องทำและใช้ในทันทีทันใด เพราะไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เมื่อจะใช้จึงค่อยทำ หากเกษตรกรละเลยการตรวจแปลง พบการระบาดของของโรค-แมลงศัตรูพืชก็จะควบคุมแมลงศัตรูพืชได้ยากและไม่ทันการณ์
ปัจจุบันมีการสกัดสารสมุนไพรนำมาผสมกับแอลกอฮอล์แล้วนำไปฉีดพ่นแทน ประสิทธิภาพจะดีกว่ามาก แต่ยังคงมีข้อจำกัดคือ ใช้ได้ในกรณีสารสมุนไพรที่ มีกลิ่นฉุนและไม่สลายตัว เมื่ออยู่ในสภาวะอุณหภูมิสูง เช่น สารตะไคร้หอม ใบยูคาลิปตัส เป็นต้น แต่ไม่สามารถใช้ได้กับสะเดา ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธีใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการสกัดแอลกอฮอล์จากเหล้าขาว หรือแอลกอฮอล์เช็ดแผล และน้ำส้มสายชู แต่คงพบปัญหาและมีข้อเสียคือ ต้นทุนที่สูง
ประธานเกษตรธรรมชาติชุมชนตำบลวังไก่เถื่อนอธิบายถึงวิธีการผลิต แอลกอฮอล์ว่า ทำไม่ยาก เพียงนำกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม ละลายในน้ำสะอาด 4 ลิตร ใส่ยีสต์ทำขนมปัง 1 ช้อนชา คนให้ทั่วหมักทิ้งไว้ 7 วัน ยีสต์จะเปลี่ยนน้ำตาลกลายเป็นแอลกอฮอล์รอการนำไปใช้สกัดสารสมุนไพรต่างๆ ได้ แต่เมื่อหมักได้ดีแล้วสามารถเก็บไว้ได้นานเพียง 1 เดือน ถ้าไม่ใช้ให้หมดก็จะกลายเป็นน้ำส้มและเน่าเสียได้ แต่ถ้านำไปสกัดสมุนไพรและนำกากสมุนไพรที่สกัดออกแล้วสามารถเก็บสมุนไพรนั้นไว้ใช้ได้นานหลายเดือนตลอดฤดูการผลิต
อย่างการสกัดสารสมุนไพรป้องกันแมลงศัตรูพืชจากยาสูบ และน้ำส้มควันไม้

วิธีทำ

คือ แอลกอฮอล์ 1 ลิตร น้ำส้มควันไม้ 1 ลิตร ใส่ยาสูบลงไปพอท่วม ใช้ตะแกรงวางบนและทับด้วยหินให้น้ำท่วมเสมอ ทิ้งไว้ 7 วัน คั้นเอาน้ำสมุนไพรไว้ ใช้ทิ้งไว้ได้เป็นปี กากที่ได้นำไปใช้ประโยชน์อื่นได้อีก เช่น โรยในแปลงผัก อัตราที่ใช้ 50 ซีซี ต่อน้ำสะอาด 20 ลิตร ควรฉีดพ้นเวลาแดดอ่อน สามารถป้องกันและกำจัดศัตรูข้าวได้เป็นอย่างดี” บัวเพชรกล่าว
บัวเพชรย้ำว่า การสกัดสมุนไพรด้วยแอลกอฮอล์จะสกัดสารสมุนไพรให้ ออกมาเพื่อใช้ประโยชน์ได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าการใช้น้ำที่ละลายออกมาได้เพียงเล็กน้อย อีกทั้งสามารถเก็บไว้ได้นาน พร้อมใช้งานเมื่อเกิดการระบาดของศัตรูพืชได้อย่างทันกับสถานการณ์
ในขณะที่ รังสรรค์ กองเงิน เกษตรจังหวัดชัยนาท กล่าวเสริมว่า การส่งเสริมเพื่อให้เกษตรกรป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสานนั้น เป็นนโยบายของจังหวัดชัยนาท เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ เมืองเกษตรมาตรฐาน สืบสานคุณภาพชีวิต”โดยในปี 2552 จังหวัดชัยนาทอนุมัติงบประมาณดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวปลอดภัย จากสารพิษและลดต้นทุนการผลิตจำนวน 80 กลุ่ม กลุ่มละประมาณ 20 คน ครอบคลุมทุกตำบลใน จ.ชัยนาท
แนวทางการส่งเสริมด้วยการสร้างทีมวิทยากรเกษตรกร เพื่อร่วมเป็นทีมวิทยากรสนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกันของเกษตรกร ในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมเมล็ดพันธุ์ การเตรียมดินที่ลดการเผาตอซังและฟางข้าว การวิเคราะห์ดิน การใช้ปุ๋ยและปรับปรุงดินตามค่าวิเคราะห์ดิน การตรวจนับแมลงศัตรูพืชและศัตรูธรรมชาติ การใช้สารสมุนไพร สารชีวภัณฑ์ในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เป็นต้น
เกษตรจังหวัดชัยนาทย้ำด้วยว่า ในส่วนของการผลิตแอลกอฮอล์สำหรับการสกัดสมุนไพรนั้น สามารถลดต้นทุนการผลิตและสกัดสมุนไพร เพื่อการป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ควรนำไปใช้เพื่อการเกษตรเท่านั้น ห้ามนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เนื่องจากผิดกฎหมาย และอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพด้วย
การใช้แอลกอฮอล์สารสกัดพืชสมุนไพรแทน สารเคมีหรือวัตถุมีพิษ 100% จึงนับเป็นอีกทางเลือกของเกษตรกรในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เนื่องจากสามารถเก็บไว้ใช้ได้นานและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย
สารสกัดพืช
เกษตรอินทรีย์หนทางรอดของเกษตรกร สุธรรม จันทร์อ่อน หมอดินอาสาประจำอำเภอกำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากกรมพัฒนาที่ดินให้เป็นหมอดินอาสาดีเด่น และยังรั้งตำแหน่งปราชญ์ชาวบ้านเศรษฐกิจพอเพียงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงข้อดีของเกษตรอินทรีย์ว่า นอกจากสามารถลดต้นทุนการผลิตได้แล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพของตนเองและครอบครัว ที่สำคัญยังป้องกันการเสื่อมโทรมของที่ดินทำกินอีกด้วย
เมื่อก่อนผมก็ใช้สารเคมีเหมือนกัน แต่เมื่อได้กลับมาคิดถึงคำสอนของบรรพบุรุษ และเหนือสิ่งอื่นใดคือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงกล่าวถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นทางออกทางรอดของเกษตรกรโดยแท้ ตั้งแต่นั้นมาผมจึงหันมาทำเกษตรพึ่งพาสารอินทรีย์ชีวภาพและปฏิเสธการใช้ปุ๋ยเคมีหรือสารเคมีทุกชนิด
ทุกวันนี้ครอบครัวของหมอดินสุธรรมมีความสุขดี จากการเพาะปลูกพืชผักแบบผสมผสาน มีพื้นที่ทั้งหมด 17 ไร่ แบ่งพื้นที่ตามความเหมาะสมของดิน เป็นฟาร์มวัว บ่อเลี้ยงปลา แปลงหญ้าประมาณ 10 ไร่ ส่วนอีก 7 ไร่ เป็นที่ปลูกบ้านที่พักอาศัย และปลูกหน่อไม้ฝรั่ง พริก มะเขือ กล้วยน้ำว้า ไผ่ ไว้รอบๆ บริเวณ ซึ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นการผลิตที่เกื้อกูลกัน
ผมพิสูจน์มาแล้วว่า การใช้ปุ๋ยอินทรีย์สามารถลดต้นทุนได้ไม่ต่ำกว่า 60-70% ถึงแม้ว่าผลผลิตจะได้ไม่สูงเท่ากับการใช้ปุ๋ยเคมี แต่เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนกับรายได้แล้วนับว่าคุ้มค่า แต่ละปีมีรายได้เหลือไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่พออยู่ได้” สุธรรมกล่าวทิ้งท้าย

ชาวนาใช่เพียงกระดูกสันหลังของชาติ




“เกิดเป็นคนจนต้องทนลำบาก ชีวิตนั่นฝากไว้กับที่นาฝนฟ้าไม่แน่นอน ร่างกายกำยำทำงานเป็นเลิศ บุญพาให้มาเกิดแต่ว่ามีกำบัง...ยังต้องเป็นคนยากจน คนผู้ยังยากจน เขาก็คือคนอยู่บนแผ่นดิน คนผู้ใดมั่งมี เหลียวมองบ้างซีคนของแผ่นดิน” บทเพลงขับขานของนักร้องเพื่อชีวิตผู้หนึ่งได้กล่าวถึงชาวนาไว้ว่าเป็นผู้ยากจนที่ต้องทนลำบากอยู่กับผืนนาที่ไม่มีอะไรแน่นอนชีวิตฝากไว้กับฝนฟ้า แต่ชาวนาก็คือคนของแผ่นดิน
ชาวนาได้ถูกมองจากสังคมว่าเป็นผู้ลำบากและยากจนที่สุดในบรรดาการประกอบอาชีพเกษตรกรรมทั้งหลาย ค่านิยมและความรู้สึกนี้มิใช่เป็นเพียงความรู้สึกของคนภายนอกเท่านั้น  ชาวนาส่วนใหญ่ก็มองว่าอาชีพของตัวเองด้อยค่า ไม่มีศักดิ์ศรี และยากจนจริง ความเชื่อและค่านิยมเหล่านี้ได้ถูกปลูกฝังไปยังรุ่นลูกหลานให้มีความรู้สึกว่าด้อยค่าด้อยศักดิ์ศรีและยากจนด้วยเช่นกัน ทำให้บรรดาพ่อแม่ที่เป็นชาวนาส่งบุตรหลานของตัวเองให้เรียนสูงๆ เพราะเชื่อว่าสักวันจะได้เป็นเจ้าคนนายคนเป็นใหญ่เป็นโตจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนพ่อแม่
ชาวนาในอดีตไม่แน่ว่ายากจนและเป็นทุกข์เช่นชาวนาในปัจจุบันหรือไม่ แต่ชาวนาในปัจจุบันยากจนและเป็นทุกข์จากการประกอบสัมมาอาชีวะของตนเอง ชาวนาไม่มีอิสรภาพเช่นก่อน เพราะชาวนามีความเชื่อซึ่งเป็นความเชื่อที่ถูกปลูกฝังโดยวิธีคิดสมัยใหม่ว่าการทำนาที่ดีต้องให้ได้ผลผลิตจำนวนมากและใช้เวลารวดเร็วในการเก็บเกี่ยวนั่นคือต้องใช้ปุ๋ยเคมี ใช้ยาเคมี ต้องอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น รถไถนา รถตัดข้าว  ชาวนาในปัจจุบันขาดซึ่งอิสรภาพทางความคิดและความสามารถในการพึ่งพาตนเอง  เพียงเพราะผูกยึดความเชื่อไว้กับวิธีคิดสมัยใหม่
ในความเป็นจริงชาวนา...เป็นมากกว่ากระดูกสันหลังของชาติ แต่ชาวนาคือเส้นเลือดใหญ่ของชาติ ซึ่งหากขาดซึ่งชาวนา ผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน ผู้ซึ่งผลิตอาหารเลี้ยงคนทั้งประเทศ หากขาดเส้นเลือดใหญ่ ลองคิดดู...พวกเราจะอยู่กันอย่างไร??? ชาวนาจึงมิใช่เพียงกระดูกสันหลังของชาติ แต่คุณค่าที่สังคมมอบให้ คุณค่าที่รัฐมอบให้ไม่สมศักดิ์ไม่สมคุณค่ากับความสำคัญที่มี
ถึงเวลาแล้วที่เราลูกหลานไทย ผู้ตกเป็นหนี้บุญคุณชาวนาต้องพากันเคารพศักดิ์ศรี ให้ความสำคัญกับชาวนา  ชาวนามิได้เป็นเพียงการประกอบอาชีพ การเป็นชาวนาเป็นการสืบทอดและดำเนินวิถีที่ผูกโยงกับจิตวิญญาณของชนชาติไทยมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ เป็นการสืบสานวัฒนธรรมความดีงามของผู้คนในสังคมไว้  ชาวนาเป็นเลือดเนื้อและวิญญาณเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมเรียกว่ามนุษย์หรือผู้มีจิตใจและอารยธรรมที่สูงส่ง  “เปิปข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิน เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน”(บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์)

ควายทำไมต้องอยู่คู่กับชวนนาด้วย





“ควายคือชีวิตของคนไทย” ความ ใกล้ชิดระหว่าง “ควายกับคน” จะแตกต่างกับสุนัข หรือแมว ที่เลี้ยงดูไว้เพื่อจุดประสงค์หนึ่งเพราะเราถือว่าควายเป็นสัตว์มีบุญคุณ และได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูงโบราณมีพิธีทำขวัญควาย โดยเมื่อเสร็จจากฤดูไถหว่านแล้ว จะประกอบพิธีทำขวัญให้กับควาย มีการกล่าว โองการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่ช่วยเหลือในการทำมาหากิน ช่วยเหลือแรงงานด้านต่าง ๆ เสร็จแล้วจะมีการจัดหาหญ้าอ่อน น้ำสะอาดเลี้ยงดูให้กับควายมีหลายคนเรียกควายว่า “ลูก” สมัยก่อนจะไม่มีการฆ่าควายเพื่อกินเนื้อเป็นอาหาร ทุกบ้านจะเลี้ยงดูจนแก่เฒ่า และปล่อยให้ตายเอง จึงจะยอมชำแหละเนื้อมาเป็นอาหาร แต่เก็บเขาเอาไว้เป็นที่ระลึก ว่าได้เคยช่วยเหลืองานมา และจดจำชื่อไว้ว่าเป็นเขาของควายตัวใด ๆ และเกิดประเพณีสะสมเขาควายต่อมาโลกเจริญก้าวหน้า มีวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ สังคมเปลี่ยนแปลง รวมทั้งสังคมเกษตรในประเทศไทยจากที่เคยใช้ควายไถนา คราดนา ลากเกวียน นวดข้าว เปลี่ยนเป็นเครื่องจักร เครื่องนวดข้าว บทบาทของควายภาคเกษตรหมดลงโดยสิ้นเชิง “น่าใจหาย” บทบาทใหม่ของควายล่ะ คืออะไร...…จากสัตว์ที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณ ช่วยเหลืองานทุกครัวเรือนเอาใจใส่ เลี้ยงดูเป็นอย่างดี สุมไฟให้เพื่อป้องกันยุง หาหญ้า หาน้ำ เพื่อเลี้ยงดู อยู่กินอย่างเป็นเพื่อน ไม่น่าเลยคนใจร้ายทำได้ “เห็นหน้ากัน อยู่ หลัด ๆ กินเสียได้” ปัจจุบันควายถูกเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เศรษฐกิจ คือเลี้ยงเพื่อส่งขายให้กับโรงฆ่าสัตว์ไม่มีการชะลอหรือละเว้น ควายหมดจากประเทศไทยแน่ ๆ เด็กรุ่นหลังคงรู้จักควายจาก อนุสาวรีย์ หรือรูปภาพเท่านั้นโครงการ “บ้านควาย” ดำเนินการอยู่ที่อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ ปลุกสำนึกให้กับพี่น้องประชาชนได้ระลึกถึง “ควาย” สัตว์ที่มีบุญคุณ ช่วยในการส่งเสริมรายได้ให้กับชุมชน และยังส่งเสริมและอนุรักษ์ให้ควายเป็นสัตว์ที่ได้รับความสนใจ และได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีคุณค่า เพราะไม่แน่ว่าวันข้างหน้าควายอาจกลับมามีบทบาทต่อชีวิตของพี่น้องเกษตรกร อีกก็ได้ 

การปลูกข้าวรูปแบบใหม่บรรเทาความเสียหายจากน้ำท่วมได้จริงหรือไหม

การปลูกข้าวรูปแบบใหม่บรรเทาความเสียหายจากน้ำท่วม
โครงการจัดระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่ ที่กรมชลประทานร่วมกับกรมการข้าว และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการนำร่องในพื้นที่ชลประทาน 22 จังหวัด คือ จังหวัดกำแพงเพชร เชียงราย นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย อุทัยธานี ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง นครนายก ฉะเชิงเทรา ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และเพชรบุรี โดยมีระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี 2553-2556
นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า โครงการจัดระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่ดังกล่าวจะให้ปลูกข้าวไม่เกินปีละ 2 ครั้ง โดยจะกำหนดทางเลือกการปลูกข้าวตามช่วงเวลาเป็น 3 รูปแบบคือ
1. ปลูกข้าวนาปี-พืชหลังนา-ข้าวนาปรัง กล่าวคือ เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปีได้เต็มพื้นที่ หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จให้เกษตรกรปลูกพืชหลังนาที่ใช้น้ำน้อยได้เต็มพื้นที่เช่นกัน เมื่อเก็บผลผลิตแล้วปริมาณน้ำที่เหลือนำมาใช้สำหรับปลูกข้าวนาปรัง
2. ปลูกข้าวนาปี-เว้นปลูก-ข้าวนาปรัง กล่าวคือ เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปีได้เต็มพื้นที่ เก็บเกี่ยวเสร็จให้เว้นการปลูกพืชทุกชนิดจะปล่อยพื้นที่นาให้ว่างประมาณ 2 เดือน จากนั้นสามารถปลูกข้าวนาปรังได้จำนวนเหมาะสมตามปริมาณน้ำที่เหลืออยู่
3. ปลูกข้าวนาปี-พืชหลังนา-พืชไร่ กล่าวคือ เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปีได้เต็มพื้นที่ หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จเกษตรกรปลูกพืชหลังนาที่ใช้น้ำน้อย และพืชไร่ ตามลำดับ ได้เต็มพื้นที่เช่นกัน
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะไม่ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลง แม้จะลดการทำนาเหลือเพียงปีละไม่เกิน 2 ครั้งก็ตาม แต่กลับจะทำให้เกษตรกรมีผลตอบแทนจากการปลูกข้าวมากขึ้น เนื่องจากระบบการปลูกข้าวแบบใหม่จะไม่มีการปลูกข้าวอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ ลดการปะปนของข้าววัชพืชหรือข้าวดีด ข้าวเด้งที่เกิดจากการสะสมของการทำนาแบบต่อเนื่อง รวมทั้งยังจะลดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้ข้าวมีผลผลิตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 ในสถานการณ์ปกติ เมื่อเทียบกับระบบการปลูกข้าวที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนการผลิต ถึงตันละ 1,037 บาท แต่ถ้ามีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลยิ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวรูปแบบเดิมสูงกว่าแบบใหม่ รวมทั้งยังจะทำให้ผลผลิตข้าวโดยรวมของประเทศเพิ่มขึ้นแม้พื้นที่การทำนาปรังจะลดลงก็ตาม และช่วยลดการนำเข้าสารเคมีและปุ๋ยเคมี ถึงปีละประมาณ 7,500 ตันหรือ 112.5 ล้านบาท
และจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในครั้งนี้ ทำให้เห็นประโยชน์ของระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่อีกข้อก็คือ ช่วยให้ข้าวไม่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมและยังช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม เพียงแต่ให้มีการทำนาเร็วขึ้นเท่านั้น
รูปแบบการปลูกข้าวที่เหมาะสมที่สุด สำหรับพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศไทย และเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยรุนแรงที่สุดในครั้งนี้ ก็คือ รูปแบบที่ 2 ปลูกข้าวนาปี-เว้นการปลูก-ข้าวนาปรัง หรือถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ทำนาปรัง-นาปี-เว้นการปลูก ก็ได้เช่นกัน ซึ่งรูปแบบนี้จะช่วยให้ข้าวไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเลย และเกษตรกรก็ยังสามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้งตามนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งกรมชลประทานได้นำมาใช้ในฤดูกาลปลูกข้าว 2554/55 แล้ว พร้อมกับเร่งการปลูกข้าวนาปรังให้เร็วขึ้นกว่าปกติ เพื่อที่จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ทันก่อนที่น้ำจะมาหากเกิดภาวะฝนตกหนักต่อเนื่องปีนี้เช่นเดียวกัน
นายฎลงกรณ์ สมตน ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 12 กรมชลประทาน กล่าวว่า การปลูกข้าวนาปรังในฤดู 2554/55 และนาปี 2555 กรมชลประทานได้ขอความร่วมมือจากเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาให้ปลูกข้าวเร็วขึ้น โดยนาปรังให้เริ่มปลูกตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 เก็บเกี่ยวประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน 2555 จากนั้นก็ให้ทำนาปีต่อเนื่องซึ่งจะทำให้สามารถเก็บเกี่ยวข้าวนาปีได้ไม่เกินเดือนสิงหาคม 2555 ซึ่งกรมชลประทานมีน้ำเพียงพอที่จะจัดสรรให้ในช่วงการทำนาปี แม้ฝนยังไม่ตกก็ตาม ข้าวจะไม่ได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน
เมื่อเกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวนาปีเสร็จ ให้พักการทำนาทันที รอจนถึงเดือนธันวาคม 2555 ค่อยทำนาปรัง กรมชลประทานจะงดส่งน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวจนกว่าจะถึงเดือนธันวาคมตามแผน หากเกษตรกรไม่ให้ความร่วมมือยังปลูกข้าวนาปรังรอบใหม่อีกจะต้องเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดแคลนน้ำได้ หรือหากมีน้ำเหนือไหลบ่ามากอย่างเช่นปีนี้ นาข้าวก็จะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเช่นกัน และที่สำคัญพื้นที่ของเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวนาปีแล้วนั้น จะทำเป็นแก้มลิงชะลอน้ำหลากทางตอนบน เป็นการบรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่รุนแรงได้อีกทางหนึ่งด้วย
ดังนั้นเกษตรกรควรให้ความร่วมมือในการปลูกข้าวตามแผนที่กรมชลประทานแนะนำ เพื่อประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับอย่างเต็มที่และเกิดผลกระทบน้อยที่สุด
โครงการจัดระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่ แม้โครงการนำร่องจะสิ้นสุดในปี 2556 และดำเนินการได้เฉพาะในพื้นที่ชลประทานก็ตาม แต่ภาวะโลกร้อนในปัจจุบันทำให้ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีความรุนแรงมากขึ้น จำเป็นจะต้องนำโครงการดังกล่าวมาขยายผลใช้โดยเร็ว เพราะอย่างน้อยไม่ว่าจะเกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วม การปลูกข้าวระบบใหม่จะช่วยบรรเทาความเสียหายได้อย่างชัดเจน
ที่มา:หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แก้ปัญหาวัชพืชในนาข้าวแบบไม่ใช้ยาหรือสารพิษ


หลังจากที่เก็บเกี่ยวผลผลิตออกจากท้องไร่ท้องนาจนเสร็จสิ้นแล้ว ชาวนาในแถบภาคกลางส่วนใหญ่ก็เร่ิมเตรียมแปลงเติมน้ำทำเทือกกันเป็นทิวแถว โดยเฉพาะหลังน้ำท่วมใหญ่ผ่านพ้นไปมีการรีบเร่งทำนาปลูกข้าวกันยกใหญ่เพราะผลจากการว่างเว้นอยู่หลายเดือน ไม่สอดคล้องสัมพันธ์กับรายได้ที่หยุดนิ่งดอกเบี้ยที่วิ่งฉิวงอกเงยเบ่งบาน กสิกรจึงเร่งรีบปลูกข้าวเป็นการใหญ่เพื่อขวนขวายหารายได้ชำระหนี้และเลี้ยงดู ใช้จ่ายในครัวเรือน
การเตรียมเทือกส่วนใหญ่ยังคงเริ่มต้นด้วยการเผาฟาง ทั้งที่มีการรณรงค์ส่งเสริมแพร่หลายแต่ชาวไร่ชาวนาก็ยังไม่เข้าใจ อาจเป็นด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแต่เร่งรีบ จึงทำให้การเผาฟางมีความสะดวกสบายคล่องตัว พร้อมเพรียงทันใจต่อการปิดเปิดประตูระบายน้ำของชลประทานในหน้าแล้งที่เดี๋ยวแจ้งปิดแจ้งเปิดเป็นพักๆเป็นช่วงๆ จนชาวต้องตั้งรับเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา จนอาจลืมไปว่าการเผาฟางทำให้สูญเสียสารอาหาร สูญเสียระบบนิเวศน์จุลินทรีย์ สูญเสียผิวหน้าดิน ทำลายบรรยากาศชั้นโอโซน ทำลายสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งถ้าเปรียบเทียบแบบมองให้เห็นภาพก็เหมือนเป็นการเผาปุ๋ย16-20-0 และ0-0-60 ทิ้งไปอย่างละหนึ่งกระสอบ ถ้านี่คือวิธีการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มกำไรก็เท่ากับว่ากำไรหดหายไปแล้วเกือบสองพัน(ตามรายงานผลการวิจัยของสถาบันข้าวนานาชาติ IRRI, Manila, Philippines (1987) ที่รายงานว่า ในฟางข้าวที่ให้ผลผลิตเมล็ดข้าวเปลือกหนึ่งร้อยถังหรือหนึ่งตันจะมีไนโตรเจน 7.6 กก., ฟอสฟอรัส 1.1 กก., และโพแทสเซียม 28.4 กก., แมกนีเซียม 2.3กก., แคลเซียม 3.8 กก. กำมะถัน 0.34 กก. เหล็ก 150 กรัม. สังกะสี 20 กรัม ทองแดง 2 กรัม โบรอน 16 กรัม. ซิลิก้า 41.9 กิโลกรัม คลอรีน 55 กิโลกรัม) มัวแต่คุยนอกเรื่องเสียเพลินเลยทำให้เรื่องการแก้ปัญหาเรื่องวัชพืชในนาข้าวไม่จบในตอนเดียว ไว้บันทึกหน้าจะมาเล่าให้ฟังใหม่นะครับ