วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การปลูกข้าวรูปแบบใหม่บรรเทาความเสียหายจากน้ำท่วมได้จริงหรือไหม

การปลูกข้าวรูปแบบใหม่บรรเทาความเสียหายจากน้ำท่วม
โครงการจัดระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่ ที่กรมชลประทานร่วมกับกรมการข้าว และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการนำร่องในพื้นที่ชลประทาน 22 จังหวัด คือ จังหวัดกำแพงเพชร เชียงราย นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย อุทัยธานี ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง นครนายก ฉะเชิงเทรา ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และเพชรบุรี โดยมีระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี 2553-2556
นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า โครงการจัดระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่ดังกล่าวจะให้ปลูกข้าวไม่เกินปีละ 2 ครั้ง โดยจะกำหนดทางเลือกการปลูกข้าวตามช่วงเวลาเป็น 3 รูปแบบคือ
1. ปลูกข้าวนาปี-พืชหลังนา-ข้าวนาปรัง กล่าวคือ เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปีได้เต็มพื้นที่ หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จให้เกษตรกรปลูกพืชหลังนาที่ใช้น้ำน้อยได้เต็มพื้นที่เช่นกัน เมื่อเก็บผลผลิตแล้วปริมาณน้ำที่เหลือนำมาใช้สำหรับปลูกข้าวนาปรัง
2. ปลูกข้าวนาปี-เว้นปลูก-ข้าวนาปรัง กล่าวคือ เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปีได้เต็มพื้นที่ เก็บเกี่ยวเสร็จให้เว้นการปลูกพืชทุกชนิดจะปล่อยพื้นที่นาให้ว่างประมาณ 2 เดือน จากนั้นสามารถปลูกข้าวนาปรังได้จำนวนเหมาะสมตามปริมาณน้ำที่เหลืออยู่
3. ปลูกข้าวนาปี-พืชหลังนา-พืชไร่ กล่าวคือ เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปีได้เต็มพื้นที่ หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จเกษตรกรปลูกพืชหลังนาที่ใช้น้ำน้อย และพืชไร่ ตามลำดับ ได้เต็มพื้นที่เช่นกัน
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะไม่ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลง แม้จะลดการทำนาเหลือเพียงปีละไม่เกิน 2 ครั้งก็ตาม แต่กลับจะทำให้เกษตรกรมีผลตอบแทนจากการปลูกข้าวมากขึ้น เนื่องจากระบบการปลูกข้าวแบบใหม่จะไม่มีการปลูกข้าวอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ ลดการปะปนของข้าววัชพืชหรือข้าวดีด ข้าวเด้งที่เกิดจากการสะสมของการทำนาแบบต่อเนื่อง รวมทั้งยังจะลดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้ข้าวมีผลผลิตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 ในสถานการณ์ปกติ เมื่อเทียบกับระบบการปลูกข้าวที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนการผลิต ถึงตันละ 1,037 บาท แต่ถ้ามีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลยิ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวรูปแบบเดิมสูงกว่าแบบใหม่ รวมทั้งยังจะทำให้ผลผลิตข้าวโดยรวมของประเทศเพิ่มขึ้นแม้พื้นที่การทำนาปรังจะลดลงก็ตาม และช่วยลดการนำเข้าสารเคมีและปุ๋ยเคมี ถึงปีละประมาณ 7,500 ตันหรือ 112.5 ล้านบาท
และจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในครั้งนี้ ทำให้เห็นประโยชน์ของระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่อีกข้อก็คือ ช่วยให้ข้าวไม่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมและยังช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม เพียงแต่ให้มีการทำนาเร็วขึ้นเท่านั้น
รูปแบบการปลูกข้าวที่เหมาะสมที่สุด สำหรับพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศไทย และเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยรุนแรงที่สุดในครั้งนี้ ก็คือ รูปแบบที่ 2 ปลูกข้าวนาปี-เว้นการปลูก-ข้าวนาปรัง หรือถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ทำนาปรัง-นาปี-เว้นการปลูก ก็ได้เช่นกัน ซึ่งรูปแบบนี้จะช่วยให้ข้าวไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเลย และเกษตรกรก็ยังสามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้งตามนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งกรมชลประทานได้นำมาใช้ในฤดูกาลปลูกข้าว 2554/55 แล้ว พร้อมกับเร่งการปลูกข้าวนาปรังให้เร็วขึ้นกว่าปกติ เพื่อที่จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ทันก่อนที่น้ำจะมาหากเกิดภาวะฝนตกหนักต่อเนื่องปีนี้เช่นเดียวกัน
นายฎลงกรณ์ สมตน ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 12 กรมชลประทาน กล่าวว่า การปลูกข้าวนาปรังในฤดู 2554/55 และนาปี 2555 กรมชลประทานได้ขอความร่วมมือจากเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาให้ปลูกข้าวเร็วขึ้น โดยนาปรังให้เริ่มปลูกตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 เก็บเกี่ยวประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน 2555 จากนั้นก็ให้ทำนาปีต่อเนื่องซึ่งจะทำให้สามารถเก็บเกี่ยวข้าวนาปีได้ไม่เกินเดือนสิงหาคม 2555 ซึ่งกรมชลประทานมีน้ำเพียงพอที่จะจัดสรรให้ในช่วงการทำนาปี แม้ฝนยังไม่ตกก็ตาม ข้าวจะไม่ได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน
เมื่อเกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวนาปีเสร็จ ให้พักการทำนาทันที รอจนถึงเดือนธันวาคม 2555 ค่อยทำนาปรัง กรมชลประทานจะงดส่งน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวจนกว่าจะถึงเดือนธันวาคมตามแผน หากเกษตรกรไม่ให้ความร่วมมือยังปลูกข้าวนาปรังรอบใหม่อีกจะต้องเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดแคลนน้ำได้ หรือหากมีน้ำเหนือไหลบ่ามากอย่างเช่นปีนี้ นาข้าวก็จะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเช่นกัน และที่สำคัญพื้นที่ของเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวนาปีแล้วนั้น จะทำเป็นแก้มลิงชะลอน้ำหลากทางตอนบน เป็นการบรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่รุนแรงได้อีกทางหนึ่งด้วย
ดังนั้นเกษตรกรควรให้ความร่วมมือในการปลูกข้าวตามแผนที่กรมชลประทานแนะนำ เพื่อประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับอย่างเต็มที่และเกิดผลกระทบน้อยที่สุด
โครงการจัดระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่ แม้โครงการนำร่องจะสิ้นสุดในปี 2556 และดำเนินการได้เฉพาะในพื้นที่ชลประทานก็ตาม แต่ภาวะโลกร้อนในปัจจุบันทำให้ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีความรุนแรงมากขึ้น จำเป็นจะต้องนำโครงการดังกล่าวมาขยายผลใช้โดยเร็ว เพราะอย่างน้อยไม่ว่าจะเกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วม การปลูกข้าวระบบใหม่จะช่วยบรรเทาความเสียหายได้อย่างชัดเจน
ที่มา:หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น