โครงการจัดระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่ ที่กรมชลประทานร่วมกับกรมการข้าว และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการนำร่องในพื้นที่ชลประทาน 22 จังหวัด คือ จังหวัดกำแพงเพชร เชียงราย นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย อุทัยธานี ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง นครนายก ฉะเชิงเทรา ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และเพชรบุรี โดยมีระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี 2553-2556
นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า โครงการจัดระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่ดังกล่าวจะให้ปลูกข้าวไม่เกินปีละ 2 ครั้ง โดยจะกำหนดทางเลือกการปลูกข้าวตามช่วงเวลาเป็น 3 รูปแบบคือ
1. ปลูกข้าวนาปี-พืชหลังนา-ข้าวนาปรัง กล่าวคือ เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปีได้เต็มพื้นที่ หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จให้เกษตรกรปลูกพืชหลังนาที่ใช้น้ำน้อยได้เต็มพื้นที่เช่นกัน เมื่อเก็บผลผลิตแล้วปริมาณน้ำที่เหลือนำมาใช้สำหรับปลูกข้าวนาปรัง
2. ปลูกข้าวนาปี-เว้นปลูก-ข้าวนาปรัง กล่าวคือ เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปีได้เต็มพื้นที่ เก็บเกี่ยวเสร็จให้เว้นการปลูกพืชทุกชนิดจะปล่อยพื้นที่นาให้ว่างประมาณ 2 เดือน จากนั้นสามารถปลูกข้าวนาปรังได้จำนวนเหมาะสมตามปริมาณน้ำที่เหลืออยู่
3. ปลูกข้าวนาปี-พืชหลังนา-พืชไร่ กล่าวคือ เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปีได้เต็มพื้นที่ หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จเกษตรกรปลูกพืชหลังนาที่ใช้น้ำน้อย และพืชไร่ ตามลำดับ ได้เต็มพื้นที่เช่นกัน
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะไม่ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลง แม้จะลดการทำนาเหลือเพียงปีละไม่เกิน 2 ครั้งก็ตาม แต่กลับจะทำให้เกษตรกรมีผลตอบแทนจากการปลูกข้าวมากขึ้น เนื่องจากระบบการปลูกข้าวแบบใหม่จะไม่มีการปลูกข้าวอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ไม่มีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ ลดการปะปนของข้าววัชพืชหรือข้าวดีด ข้าวเด้งที่เกิดจากการสะสมของการทำนาแบบต่อเนื่อง รวมทั้งยังจะลดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้ข้าวมีผลผลิตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 ในสถานการณ์ปกติ เมื่อเทียบกับระบบการปลูกข้าวที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนการผลิต ถึงตันละ 1,037 บาท แต่ถ้ามีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลยิ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวรูปแบบเดิมสูงกว่าแบบใหม่ รวมทั้งยังจะทำให้ผลผลิตข้าวโดยรวมของประเทศเพิ่มขึ้นแม้พื้นที่การทำนาปรังจะลดลงก็ตาม และช่วยลดการนำเข้าสารเคมีและปุ๋ยเคมี ถึงปีละประมาณ 7,500 ตันหรือ 112.5 ล้านบาท
และจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในครั้งนี้ ทำให้เห็นประโยชน์ของระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่อีกข้อก็คือ ช่วยให้ข้าวไม่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมและยังช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม เพียงแต่ให้มีการทำนาเร็วขึ้นเท่านั้น
รูปแบบการปลูกข้าวที่เหมาะสมที่สุด สำหรับพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศไทย และเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยรุนแรงที่สุดในครั้งนี้ ก็คือ รูปแบบที่ 2 ปลูกข้าวนาปี-เว้นการปลูก-ข้าวนาปรัง หรือถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ทำนาปรัง-นาปี-เว้นการปลูก ก็ได้เช่นกัน ซึ่งรูปแบบนี้จะช่วยให้ข้าวไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเลย และเกษตรกรก็ยังสามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้งตามนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งกรมชลประทานได้นำมาใช้ในฤดูกาลปลูกข้าว 2554/55 แล้ว พร้อมกับเร่งการปลูกข้าวนาปรังให้เร็วขึ้นกว่าปกติ เพื่อที่จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ทันก่อนที่น้ำจะมาหากเกิดภาวะฝนตกหนักต่อเนื่องปีนี้เช่นเดียวกัน
นายฎลงกรณ์ สมตน ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 12 กรมชลประทาน กล่าวว่า การปลูกข้าวนาปรังในฤดู 2554/55 และนาปี 2555 กรมชลประทานได้ขอความร่วมมือจากเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาให้ปลูกข้าวเร็วขึ้น โดยนาปรังให้เริ่มปลูกตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 เก็บเกี่ยวประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน 2555 จากนั้นก็ให้ทำนาปีต่อเนื่องซึ่งจะทำให้สามารถเก็บเกี่ยวข้าวนาปีได้ไม่เกินเดือนสิงหาคม 2555 ซึ่งกรมชลประทานมีน้ำเพียงพอที่จะจัดสรรให้ในช่วงการทำนาปี แม้ฝนยังไม่ตกก็ตาม ข้าวจะไม่ได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน
เมื่อเกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวนาปีเสร็จ ให้พักการทำนาทันที รอจนถึงเดือนธันวาคม 2555 ค่อยทำนาปรัง กรมชลประทานจะงดส่งน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวจนกว่าจะถึงเดือนธันวาคมตามแผน หากเกษตรกรไม่ให้ความร่วมมือยังปลูกข้าวนาปรังรอบใหม่อีกจะต้องเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดแคลนน้ำได้ หรือหากมีน้ำเหนือไหลบ่ามากอย่างเช่นปีนี้ นาข้าวก็จะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเช่นกัน และที่สำคัญพื้นที่ของเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวนาปีแล้วนั้น จะทำเป็นแก้มลิงชะลอน้ำหลากทางตอนบน เป็นการบรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่รุนแรงได้อีกทางหนึ่งด้วย
ดังนั้นเกษตรกรควรให้ความร่วมมือในการปลูกข้าวตามแผนที่กรมชลประทานแนะนำ เพื่อประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับอย่างเต็มที่และเกิดผลกระทบน้อยที่สุด
โครงการจัดระบบการปลูกข้าวรูปแบบใหม่ แม้โครงการนำร่องจะสิ้นสุดในปี 2556 และดำเนินการได้เฉพาะในพื้นที่ชลประทานก็ตาม แต่ภาวะโลกร้อนในปัจจุบันทำให้ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีความรุนแรงมากขึ้น จำเป็นจะต้องนำโครงการดังกล่าวมาขยายผลใช้โดยเร็ว เพราะอย่างน้อยไม่ว่าจะเกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วม การปลูกข้าวระบบใหม่จะช่วยบรรเทาความเสียหายได้อย่างชัดเจน
ที่มา:หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ที่มา:หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น